วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

คลอโรฟิลล์กับการบำบัดโรค

บทบาทในการรักษาแผล

บทบาทในการสมานแผล กล่าวแล้วว่าคลอโรฟิลล์สามารถใช้รักษาแผล เรียกเนื้อให้แผลหายเร็วกว่าปกติ เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ทั้งยังดับกลิ่นเหม็นของแผล ยกตัวอย่างเช่น

ในปี 1940 โบเออร์ได้ใช้ขี้ผึ้งคลอโรฟิลลินรักษาแผลที่มีหนองกว่า 400 รายที่ติดเชื้อในโรงพยาบาล ปรากฎว่าคลอโรฟิลลินสามารถทำลายหนอง สามารถเรียกเนื้อให้สมานคืนเป็นปกติเร็วกว่ายาใดๆ

ในปี 1980 แอนทีพัสรายงานว่า คลอโรฟิลลินสามารถรักษาแผลเรื้อรังที่รักษายากได้ผล โดยเฉพาะแผลกดทับในผู้ป่วยที่นอนในท่าเดียวนานๆ

พอลล็อคและคณะรายงานว่า เมื่อเปรียบเทียบการรักษาแผลกดทับด้วยวิธีการและยาชนิดต่างๆ ได้แก่ การฟอกแผลด้วยสบู่และน้ำ การใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ฟอกแผล การฉายแสงด้วยแสงอัลตร้าไวโอเล็ต การใช้ขี้ผึ้งซิงค์ออกไซด์ การใช้ขี้ผึ้งซัลฟาไทอาโซล การใช้ขี้ผึ้งไวโอฟอร์ม การใช้ขี้ผึ้งน้ำมันดิน การใช้ไทโอเมอร์โรซอล และขี้ผึ้งเบซิทรซินกับการใช้ขี้ผึ้งคลอโรฟิลล์ ปรากฏผลว่าที่ไม่ได้ผลคือ ซัลฟา ส่วนที่ได้ผลดีที่สุดกลับเป็นคลอโรฟิลล์

บทบาทในการขจัดกลิ่น

จากการใช้คลอโรฟิลล์รักษาแผล เรารู้ว่ากลิ่นเหม็นของแผลลดลงไปได้ภายหลังจากการรักษา ทั้งนี้เนื่องมาจากผลของคลอโรฟิลล์ใน 2 ขอบเขตด้วยกันคือ คลอโรฟิลล์มีผลต่อเมตาโบลิสม์ของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองในแผล ดังนั้นแบคทีเรียจะสร้างสารพิษที่มีกลิ่นเหม็นขึ้นมาไม่ได้อีก อีกขอบเขตหนึ่ง คือ เรารู้ว่าคลอโรฟิลล์โดยตัวของมันเองสามารถกระตุ้นการเติบโตของเนื้อเยื่อ แสดงว่ามันมีฤทธิ์เรียกเนื้อดีให้งอกขึ้นมาคลุมแผลอย่างรวดเร็ว เป็นการปิดโอกาสไม่ให้แบคทีเรียทำลายแผลให้เกิดหนองเหม็นๆ ได้อีก

ดังนั้นคลอโรฟิลล์จึงถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมดับกลิ่น เช่นนำไปผสมทำยาสีฟัน ผสมยาอมดับกลิ่นปาก ผสมในหมากฝรั่งดับกลิ่นปาก โดยเชื่อว่าไม่เพียงแต่คลอโรฟิลล์จะดับกลิ่นได้ดีเมื่อมันสัมผัสกับเนื้อเยื่ออ่อนในปากและลำคอเท่านั้น แต่คลอโรฟิลล์ยังมีฤทธิ์ต่อแบคทีเรีย เป็นการทำลายแบคทีเรียเพื่อลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากปฏิกิริยาของมัน ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์สีเขียวที่ที่ใส่คลอโรฟิลล์เข้าไปโดยหวังว่าจะดับกลิ่นได้อีกมากมาย

การกำจัดกลิ่นจากแผล แผลอักเสบ แผลหนอง แผลก้นลึก ล้วนส่งกลิ่นน่ารังเกียจ นอกจากนี้ยังมีแผลจากกระดูกอักเสบ โพรงจมูกอักเสบ แผลของมะเร็ง เหล่านี้ล้วนใช้คลอโรฟิลล์ดังกลิ่นได้ผล เหตุผลก็คือ การที่คลอโรฟิลล์ขัดขวางเมตาโบลิสม์ของแบคทีเรีย ทำให้มันไม่สามารถสลายโปรตีนในเนื้อเราออกมาเป็นหนองได้ กลิ่นเหม็นจากปฏิกิริยาสลายโปรตีนก็จะหมดไปเอง หลังจากใช้คลอโรฟิลล์แล้วต่างได้รับคำยืนยันจากทั้งผู้ป่วยเอง ญาติผู้ป่วย พยาบาลและหมอผู้ทำการรักษาว่ากลิ่นเหม็นลดลงเป็นที่น่าพอใจ

บทบาทของกล้าข้าวสาลี (wheatgrass) ในการต้านมะเร็ง

สำหรับบทบาทในการต้านมะเร็งนั้น คงต้องเข้าใจธรรมชาติของการเกิดมะเร็งก่อนว่า มะเร็งเกิดขึ้นได้เพราะร่างกายของเรามีภูมิต้านทานอ่อนแอลง โดยทั่วไปในร่างกายของเราทุกคนมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นเป็นปกติ ซึ่งเกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ผิดพลาด แต่ที่ยังไม่เป็นมะเร็งเพราะเรามีระบบภูมิต้านทานที่ธรรมชาติให้มานั้นทำงานอย่างมีประสิทธิภาพดียิ่ง เมื่อใดก็ตามที่เกิดเซลล์มะเร็งขึ้นในร่างกาย เม็ดเลือดขาวจะทำหน้าที่ทำลายเซลล์แปลกปลอมทิ้งในทันที จึงไม่มีโอกาสโขขึ้นมาเป็นก้อนมะเร็ง ตรงกันข้าม เมื่อใดก็ตามเซลล์ภูมิต้านทานของเราอ่อนแอลง เม็ดเลือดขาวก็จะสูญเสียความสามารถในการทำลายเซลล์มะเร็งทิ้ง ดังนั้นเซลล์มะเร็งจึงไม่ถูกทำลายและโตขึ้นมาเป็นก้อนและก่อให้เกิดโรคมะเร็งตามอวัยวะต่างๆ

การเกิดโรคมะเร็งจึงไม่ใช่เป็นเรื่องของความผิดปกติเพียงแค่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นความผิดพลาดของทั้งระบบของร่างกาย ระบบใหญ่คือระบบภูมิต้านทานเสียไป การรักษามะเร็งจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำอย่างไรจะฟื้นภูมิต้านทานให้กลับมาดีดังเดิม

ที่ผ่านมาการรักษามะเร็งในโรงพยาบาลเป็นการรักษาเฉพาะอวัยวะ เป็นมะเร็งที่ไหนก็ตัดตรงนั้นทิ้ง ฉายแสงทำลายก้อนมะเร็งแต่ตรงนั้นทั้ง ให้เคมีเพื่อใช้กัมมันตภาพรังสีไปไล่จับเซลล์มะเร็งที่เพ่นพ่านไปทั่วร่างกาย เป็นการรักษาเป็นจุดประสงค์สองอย่างนี้เท่านั้น สิ่งที่การแพทย์ในโรงพยาบาลไม่ได้ทำก็คือ ไม่ได้ฟื้นฟูภูมิต้านทานของเจ้าตัวให้กลับคืนปกติ

ดังนั้นการรักษามะเร็งของการแพทย์ทุกวันนี้จึงค่อนข้างล้มเหลว เพราะไม่ได้ฟื้นฟูภูมิต้านทาน เมื่อก้อนเนื้อถูกตัดไป หรือก้อนยุบลง จึงเป็นการหายแบบชั่วคราว เมื่อภูมิต้านทานยังคงเดิม ไม่นานก็จะกลับเป็นมะเร็งขึ้นมาใหม่ ทำให้การรักษาไม่หายขาดและประสบความล้มเหลวสูงเช่นทุกวันนี้

ดร.แอนด์ วิคมอร์ เชื่อว่าโรคมะเร็งเป็นโรคที่รักษาหายได้ แต่ต้องให้ร่างกายของเจ้าตัวรักษาตัวเอง เช่นเดียวกับการที่เกิดบาดแผล เกิดรอยช้ำ เกิดโรคหวัด แล้วร่างกายของเรารักษาแผล รักษาหวัดโดยตัวของมันเอง นั่นแปลว่าภูมิต้านทานภายในตัวของเราจะมีบทบาทอย่างสูงในการรักษามะเร็ง และดร.แอนด์ วิคมอร์ ยังเชื่อว่าร่างกายของเราจะสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่เป็นมะเร็ง ซึ่งเป็นกระบวนการหายของมะเร็งตามธรรมชาติ

เคล็ดลับที่จะหายจากโรคมะเร็งประการแรกที่สุดก็คือพลังใจ คนที่หายจากโรคมะเร็งได้จะต้องเป็นคนที่ตั้งใจมั่นที่จะอยู่มีชีวิตต่อไป จะสู้กับเซลล์มะเร็งต่อไป ความคิดชนิดนี้จะทำให้ร่างกายเกิดพลัง ซึ่งเข้มแข็งพอที่จะฟื้นระบบภูมิต้านทานขึ้นมา การฟื้นระบบภูมิต้านทานสามารถทำได้ดังนี้คือ

1.) จะต้องลดสิ่งที่บั่นทอนความแข็งแกร่งของภูมิต้านทานในร่างกายลง ได้แก่

- ความเครียด ทั้งในบ้านและในการงาน

- อาหารขยะ สีผสมอาหาร กลิ่น รส ที่เป็นสารเคมี อาหารดัดแปลง อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ที่เต็มไปด้วยสารกันบูดกันเชื้อรา กันหืน

2.) จะต้องเพิ่มภูมิต้านทานโดยการล้างพิษที่มาจากอาหารข้างต้นที่มีอยู่ในตัว โดยการใช้อาหารสดจากธรรมชาติ

สำหรับกล้าข้าวสาลีมีงานวิจัยมากมายชี้ว่าในกล้าข้าวสาลีจะมีสารต้านมะเร็งมากมาย เช่น กรดแอบซิลิค ลีทราย ซึ่งอาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วิตามินบี 17 และวิตามินซีปริมาณสูง

กรดแอบซิลิคเป็นฮอร์โมนพืชตัวหนึ่งที่ป้องกันเมล็ดข้าวสาลีไม่ให้งอกจนกว่าจะมีเงื่อนไขที่เหมาะสม จากงานวิจัยในห้องปฏิบัติการ นักวิทยาศาสตร์พบว่ากรดแอบซิลิคสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งไม่ว่ามะเร็งอะไรทิ้งได้ สัตว์ทดลองที่เป็นมะเร็ง หากฉีกกรดแอบซิลิค ก้อนมะเร็งจะฝ่อลงอย่างรวดเร็ว

สำหรับลีทรายหรือวิตามินบี 17 ดร.เอิร์น เครปเป็นผู้ค้นพบครั้งแรกในเมล็ดแอบปริคอต แต่ต่อมาพบในเมล็ดเชอรี่ และในกล้าข้าวสาลีด้วย วิตามินตัวนี้สามารถเลือกฆ่าเซลล์มะเร็งได้ โดยที่ไม่ทำอันตรายต่อเซลล์ร่างกาย

วิตามินซีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการหายจากโรคมะเร็ง เนื่องจากวิตามินซีมีบทบาท 2 ประการที่สำคัญคือ เพิ่มภูมิต้านทานให้กบเม็ดเลือดขาว และยับยั้งการลุกลามของมะเร็ง บทบาทในการเพิ่มภูมิต้านทานของเม็ดเลือดขาว มีความเป็นมาดังนี้คือ เม็ดเลือดขาวหากถูกนำออกไปนอกร่างกายแล้วมันจะตายง่ายมาก หากหยดวิตามินซีให้มัน มันจะแข็งแรงอยู่ได้นานกว่า นักวิทยาศาสตร์รู้ความจริงข้อนี้มานานแล้ว จนกระทั่ง ดร.ไลนัส พอลลิ่ง ใช้วิตามินซีปริมาณสูงป้องกันโรคหวัดได้ เรารู้ว่าหวัดเกิดจากเชื้อไวรัส มีทางเดียวที่จะป้องกันหวัดคือทำให้ภูมิต้านทานแข็งแรงขึน เมื่อไรก็ตามที่ให้วิตามินซีกับเม็ดเลือดขาว มันจะทำลายไวรัสที่เข้าสู่ร่างกายได้เก่งขึ้น ในทำนองเดียวกัน วิตามินซีก็มีบทบาทเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเม็ดเลือดขาวในกรณีของมะเร็ง เนื่องจาก ดร.ไลนัส พอลลิ่ง ใช้วิตามินซีปริมาณ 10 กรัม/วัน รักษามะเร็งในระยะสุดท้ายให้มีอายุยืนยาวออกไปกว่า 3-10 เท่า

ในภายหลังเราจึงรู้อีกว่า วิตามินซียังสามารถยับยั้งการลุกลามของมะเร็งได้อีกด้วย เนื่องจากมันสามารถหยุดเอนไซม์จากก้อนมะเร็งที่ชื่อ ไฮยาลูโรนิเดส ไม่ให้เซาะเอาเซลล์มะเร็งให้หลุดจากก้อนให้ล่องลอยไปตามกระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่นอีกด้วย

ดังนั้นบทบาทของวิตามินซีจึงมีสองประการดังกล่าว แต่มีข้อแม้ว่า วิตามินซีที่จะเสริมประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาวและหยุดการลุกลามของมะเร็งได้ จะต้องเป็นวิตามินซีที่มาจากธรรมชาติเท่านั้น

ในขณะที่กล้าข้าวสาลีกำลังงอก มันจะมีวิตามินซีสูงมาก โดยสูงกว่าเดิมตอนเป็นเมล็ดถึง 600 เท่า ในปี 1984 ดร.โรบินสัน รายงานว่า น้ำคั้นจากกล้าข้าวสาลีสามารถลดความรุนแรงของมะเร็งในหนูทดลองลง 75 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ยังเชื่อว่า การที่กล้าข้าวสาลีมีบทบาทในการรักษามะเร็ง เป็นเพราะมันมีคลอโรฟิลล์ที่มีลักษณะคล้ายกับฮีโมโกลบิน การดื่มน้ำคั้นจากข้าวสาลีเป็นประจำจะช่วยในเรื่องของการเพิ่มเม็ดเลือด ทำให้เนื้อเยื่อทั่วร่างกายได้รับออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น ทำให้ภูมิต้านทานเพิ่มมากขึ้น

บทบาทของคลอโรฟิลล์ในการรักษาโรคเลือดจาง

กล่าวแล้วว่า โครงสร้างของคลอโรฟิลลินคล้ายคลึงกันกับฮีโมโกลบินมาก เพียงแต่ร่างกายเปลี่ยนจากแมกนีเซียมตรงใจกลางของคลอโรฟิลล์เป็นธาตุเหล็กเท่านั้นเอง ร่างกายก็จะได้ฮีโมโกลบินไปสร้างเม็ดเลือดแดง สามารถแก้อาการเลือดจางในสัตว์ทดลองอย่างรวดเร็ว มีรายงานของ นพ.อาร์เธอร์ ปาเทก จากโรงพยาบาลบอสตัน รักษาผู้ป่วยโรคเลือดจาง 15 ราย พบว่าเมื่อให้คลอโรฟิลล์ไปพร้อมๆ กับธาตุเหล็ก ปรากฏว่า สามารถแก้ภาวะเลือดจากและกระตุ้นไขกระดูกให้มีการสร้างเม็ดเลือดใหม่ๆ ได้ แสดงว่าสามารถใช้โครงสร้างของคลอโรฟิลล์มาแทนโครงสร้างของฮีโมโกลบินในร่างกายของคนเราได้

ในรายของผู้ป่วยที่เป็นโรคเลือดชนิด ธาลัสซีเมีย ที่มีภาวะเลือดจางและมีธาตุเหล็กคั่งในร่างกายอยู่แล้ว การใช้คลอโรฟิลล์ น่าจะเป็นคำตอบหนึ่งในการรักษาเม็ดเลือดแดงเอาไว้ เพราะในผู้ป่วยดังกล่าวเม็ดเลือดแดงจะแตกง่ายมาก

บทบาทการใช้คลอโรฟิลล์รักษาอาการท้องผูก

สำหรับปัญหาท้องผูก การใช้ยาระบายท้องผูกจะก่อให้เกิดปัญหาท้องผูกเรื้อรังตามมา เพราะการใช้ยาระบายจะทำให้ลำไส้บวม ไม่มีแรงขับถ่ายจึงถ่ายเองไม่ได้ ผู้สูงอายุจึงต้องพึ่งยาระบายเป็นประจำ ในขณะที่ใช้ยาระบายก็เพิ่มความบวมให้กับลำไส้ไปอีก ทำให้ถ่ายยากยิ่งขึ้น หากใช้ยาระบาย ก็เลยติดยาระบาย

วิธีนี้สามารถใช้คลอโรฟิลล์แก้ได้ หากใช้ยาเม็ดคลอโรฟิลล์ก็ใช้วันละ 2-3 ครั้ง การกินคลอโรฟิลล์จะทำให้ถ่ายทุกวัน เพียงแต่ว่าอุจจาระอาจจะมีสีเขียว การใช้คลอโรฟิลล์ในกรณีของผู้สูงอายุมีข้อดีตรงที่ไม่มีผลข้างเคียงของยา ไม่ทำให้ลำไส้บวมเหมือนกับการใช้ยาระบาย

บทบาทของคลอโรฟิลล์ในการรักษาโรค

ไม่ว่าชาติไหนภาษาใดต่างมีสมุนไพรใช้ มีไม่น้อยที่ต้องใช้ความเขียวสดของมันมารักษาโรค นอกจากตัวยาในสมุนไพรแล้ว ไม่แน่ว่าความเขียวหรือคลอโรฟิลล์ในพืชก็มีส่วนในการบำบัดโรค

กล่าวแล้วว่าเราสามารถใช้คลอโรฟิลล์ในการรักษาโรคเลือดจางมานานแล้ว ต่อมาก็เอาไปใช้เป็นยาสมานแผล รักษาแผลที่มีหนองฝีและพบว่าคลอโรฟิลล์สามาถดับกลิ่นเหม็นเน่าของแผลได้ดี ความนิยมใช้คลอโรฟิลล์ในการรักษาโรคมีมากมาย มนุษย์เราใช้ประโยชน์จากคลอโรฟิลล์หลายหลาย ไปจนกระทั่งใช้ในชีวิตประจำวันเป็นยาสีฟัน และยาดับกลิ่น นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ามีการใช้คลอโรฟิลล์รักษาโรคหลอดเลือดแข็งตัว ไซนัสอักเสบ กระดูกอักเสบ และโรคซึมเศร้าได้ด้วย ยังมีรายงานว่าการสวนด้วยคลอโรฟิลล์สามารถลดปริมาณแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ รักษาภูมิแพ้ และปัญหาอาหารไม่ย่อย

คลอโรฟิลล์จากธรรมชาติ
จากรายงานการใช้คลอโรฟิลล์รักษาอาการเลือดจาง สามารถเลือกแหล่งคลอโรฟิลล์จากพืชผักได้หลายอย่างด้วยกัน เช่นจากผักปวยเล้ง ผักกาดเขียว ซึ่งหากใช้สดๆ หรือคงความสดเอาไว้ได้ก็จะดีที่สุด เนื่องจากมีการทดลองเอาสารละลายคลอโรฟิลล์ไปตั้งรับแสงแดด ปรากฏว่ามันจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำลง เมื่อเอาไปตรวจสารเรืองแสง ปรากฏว่า คลอโรฟิลล์ที่ตากแดดเอาไว้มีความเรืองแสงมากกว่าปกติ นั่นแสดงว่าคลอโรฟิลล์สามารถดูดซับเอาพลังงานจากแสงตะวันเก็บไว้ในตัวของมันเต็มที่ และสามารถถ่ายทอดพลังงานนี้ออกมาเป็นพลังงานที่ให้คุณแก่ร่างกายของเรา

พืชใดก็ตามที่มีสีเขียวสด สามารถให้คลอโรฟิลล์แก่ร่างกายของเราได้ทั้งสิ้น เมื่อนักวิทยาศาสตร์รู้ว่าคลอโรฟิลล์มีประโยชน์ต่อสุขภาพ รู้ว่าต้องใช้คลอโรฟิลล์จากธรรมชาติ และรู้ว่าพืชเป็นแหล่งใหญ่ของคลอโรฟิลล์ ทีนี้จะหาพืชชนิดไหนมาสกัดเอาคลอโรฟิลล์เล่า??

กล้าข้าวสาลี (Wheatgrass)
ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่ากล้าข้าวสาลีมีสีเขียวสด และความเขียวนี่เองที่บอกเราว่ากล้าข้าวสาลีอุดมด้วยคลอโรฟิลล์

ทำไมต้องเป็นต้นกล้าด้วย ทำไมใช้ข้าวสาลีทั้งต้นไม่ได้



มีความจริงอยู่ว่า อะไรก็ตามที่กำลังงอกมีข้อดีอยู่ตรงที่ หากทิ้งไว้ยิ่งนานวิตามินและสารที่มีประโยชน์กลับเพิ่มมากขึ้น ข้อเท็จจริงนี้กลับกันกับความรู้ทั่วไปของเราที่ว่า ในบรรดาพืชอื่นๆ หากทิ้งไว้สารอาหารจะลดลง แต่กล้าที่กำลังงอก ถั่วที่กำลังงอก ยิ่งทิ้งไว้ วิตามินโดยเฉพาะวิตามินซีจะเพิ่มมากขึ้น

กล้าที่กำลังงอก จะมีเอนไซม์เพิ่มขึ้นมากมายเพื่อเปลี่ยนเมล็ดข้าวหรือเมล็ดถั่วที่ประกอบด้วยแป้งเป็นหลักให้กลายเป็นต้นอ่อน ในการนี้อะไรก็ตามที่กำลังงอกจะมีพลังมากมาย มีวิตามินและเกลือแร่เพิ่มมากกว่าตอนที่มันเป็นเมล็ดเป็นร้อยๆ เท่า ยกตัวอย่างเช่น เมล็ดที่กำลังงอกจะมีวิตามินซีมากกว่าตอนที่มันเป็นเมล็ด 300-600% วิตามินบี 1 เพิ่มขึ้น 30% วิตามินบี 2 เพิ่มขึ้น 200% วิตามินบี 3 (ไนอาซิน) เพิ่มขึ้น 90% วิตามินบี 5 (กรดแพนโตเทนิค) เพิ่มขึ้น 80% วิตามินบี 6 (ไพรีด็อกซิน) และ ไบโอติน เพิ่มขึ้น 100% เป็นต้น

เมื่อใบอ่อนเริ่มคลี่ออกมันจะทำหน้าที่ของใบพืชทันที นั่นคือรับพลังงานจากแสงตะวันมาสะสมไว้เพื่อเปลี่ยนให้เป็นอาหารจำเป็นที่จะใช้ในการเติบโตเป็นต้นพืชใหม่ รวมทั้งกล้าข้าวสาลีด้วย

ความเป็นมาของข้าวสาลี
ในแถบอบอุ่นข้าวสาลีมีความสำคัญต่อการดำรงชีพของมนุษย์ เมล็ดข้าวสาลีถูกนำมาใช้เป็นอาหารหลัก อย่างน้อยกว่า 3,000 ปี เนื่องจากเราพบเมล็ดข้าวสาลีอยู่ในหลุมพระศพของกษัตริย์อียิปต์ตุตันคาเมน ลอร์ดคาร์นาวอนผู้พบเมล็ดข้าสาลีนี้ยังสามารถทำการเพาะเมล็ดข้าวสาลีพันปีขึ้นมาเป็นกล้าข้าวสาลีได้ด้วย ในกรีกและโรมันยังมีความเชื่อว่าข้าวสาลีเป็นอาหารที่เทพประทานมาให้มนุษย์ ในจีนก็ถือว่าข้าวสาลีเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ

จากตำนานของบาบิโลน เมื่อประมาณ 2500 ปีก่อน กษัตริย์เนบูชาด เนสสาร์ ซึ่งมีอำนาจมากขนาดยกทัพไปตีจักรวรรดิอัซซีเรียนและเยรูซาเล็ม แต่กษัตริย์องค์นี้ต้องคำสาปให้ป่วยทั้งกายและใจ สวรรค์จึงมีบัญชามาว่า หากอยากหายต้องกิน “กล้าข้าวสาลีและเนื้อวัว” ซึ่งดูเหมือนว่าบันทึกนี้จะเป็นตำรับยาฉบับแรกที่กล่าวถึงการใช้กล้าข้าวสาลีในการบำบัดโรค

ในจีนโบราณยังมีตำนานกล่าวขานกันมาว่า สีเขียวของข้าวสาลีสามารถฟอกเลือด และเพิ่มพลังชีวิต

สำหรับคุณค่าของข้าสาลีนั้น เมล็ดข้าวสาลีสามารถเก็บเกลือแร่จากผืนดินประมาณ 92-102 ชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม กำมะถัน โคบอลท์ สังกะสี โซเดียม และ โปตัสเซียม เป็นต้น

ในกล้าข้าวสาลีอุดมไปด้วยโปรตีนสูง ซึ่งตับอ่อนของเราต้องการโปรตีนจากข้าวสาลีไปช่วยย่อยแป้ง กล้าข้าวสาลียังมีคลอโรฟิลล์มาก จึงมีประโยชน์ในการสร้างเม็ดเลือด และคืนความอ่อยเยาว์ให้กับร่างกาย เรายังพบว่าในกล้าข้าวสาลีอุดมด้วยวิตามินเบต้าแคโรทีน มีวิตามินบีสูง และอุดมไปด้วยวิตามินซี

ปีเตอร์ อาร์ค แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ยังพบว่ากล้าข้าวสาลีมีคุณสมบัติเป็นยาปฏิชีวนะ สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดกรัมบวก และเชื้อราได้ในหลอดทดลอง

ประสบการณ์การใช้กล้าข้าวสาลีในการรักษาโรค
ดร.แอน วิคมอร์ ผู้เชี่ยวชาญในการบำบัดโรคด้วยวิธีธรรมชาติในบอสตัน เป็นผู้หนึ่งที่ใช้น้ำคั้นจากกล้าข้าวสาลีในการฟื้นฟูสุขภาพตั้งแต่ทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้น จนกระทั่งใช้ในการล้างพิษ และขจัดโลหะหนักออกจากร่างกาย หรือรักษามะเร็ง

จากการศึกษาทดลองให้สารคลอโรฟิลล์กับสัตว์ทดลองที่เป็นโรคโลหิตจาง หรือมีจำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำ พบว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 4-5 วัน

ในปัจจุบันเราอยู่ในโลกอุตสาหกรรม มีโอกาสจะได้รับโลหะหนักจำพวกสารตะกั่ว แคดเมี่ยม สารปรอท อลูมิเนียม และทองแดง มีรายงานจากการตรวจโลหะหนักจากเส้นผมว่า หากดื่มน้ำคั้นจากกล้าข้าวสาลีเป็นประจำประมาณ 2 เดือน จะช่วยลดปริมาณโลหะหนักในร่างกายลงได้

กล่าวกันว่า หากกินกล้าข้าวสาลีวันละน้อยจะช่วยป้องกันฟันผุ การใช้น้ำคั้นจากข้าวกล้าสาลีมาบ้วนปากจะช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน รักษาอาการเจ็บคอ รักษาหนองในช่องปาก นอกจากนี้การกินน้ำคั้นจากข้าวสาลีสดๆ จะทำให้
1.) ช่วยแก้อาการเส้นเลือดขอด เพราะมีเอนไซม์ SOD ช่วยละลายก้อนเลือดที่อุดตัน
2.) ช่วยแก้ผมหงอก
3.) ช่วยกระตุ้นการไหวเวียนของเลือดในร่างกาย
4.) ช่วยลดกลิ่นตัว กลิ่นปาก
5.) ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน เนื่องจากอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
6.) จะทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า สบายเนื้อสบายตัว
7.) แก้โรคโลหิตจาง เนื่องจากมีคลอโรฟิลล์สูง
8.) ช่วยระบบย่อย เนื่องจากอุดมไปด้วยเอนไซม์
9.) ช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย รวมทั้งโลหะหนัก เช่น สารตะกั่ว ทองแดง เป็นต้น

รู้จักอัลฟัลฟา (Alfalfa) บิดาแห่งอาหารทั้งมวล
อัลฟัลฟาถูกนำมาในประเทศจีนตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 โดยใช้ในการรักษาโรคไต และบรรเทาอาการตัวบวมอันเนื่องมาจักการกักเก็บน้ำในร่างกายมากเกินไป อัลฟัลฟาเป็นพืชตระกูลถั่ว เป็นสมุนไพรยืนต้นซึ่งเติบโตได้ในสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันทั่วโลก ที่เราเอามาใช้เป็นกล้าที่กำลังงอกของมัน เมล็ดอัลฟัลฟามีขนาดเล็ก เมื่องอกก็จะได้กล้าที่มีขนาดเล็ก มีใบเลี้ยงสีเขียว และแน่นอนว่ามันจะต้องเป็นแหล่งของคลอโรฟิลล์ เอนไซม์ที่เกิดขึ้นในขณะที่กล้าของมันกำลังงอก รวมทั้งวิตามินและเกลือแร่ที่อุดมสมบูรณ์


เมล็ดอัลฟัลฟา 1 ช้อนโต๊ะจะเพาะได้กล้าถึง 1 กก. อัลฟัลฟากินง่ายเพราะมีความนุ่มนวล ไม่มีกลิ่น และมีรสหวาน

นักชีววิทยา แฟรงก์ โบเออร์ ค้นพบว่า อัลฟัลฟามีเอนไซม์สำคัญๆ ถึง 8 ชนิด ในอัลฟัลฟา 100 กรัม จะมีวิตามินเอเบต้าแคโรทีน 8,000 หน่วย มีวิตามินเค 20,000 ถึง 40,000 หน่วย ซึ่งมีผลทำให้เลือดแข็งตัวและหยุดไหลง่าย อัลฟัลฟายังเป็นแหล่งสำคัญของวิตามินบี 6 วิตามินอี วิตามินดี มีแคลเซียม ฟอสฟอรัสซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูก

อัลฟัลฟายังสามารถใช้รักษาโรคกระเพาะ อาการปวดท้อง แผลในกระเพาะอย่างได้ผล และยังช่วยในการระบาย มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ (ใช้แทนยาขับปัสสาวะ)

อัลฟัลฟาถูกนำมาใช้ในการลดระดับน้ำตาลในเลือดและระดับคอเลสเตอรอลซึ่งให้ผลที่เป็นประโยชน์ต่อหัวใจของเรา นอกจากนั้นอัลฟัลฟายังมีคุณสมบัติช่วยในการขับถ่าย และความอยากอาหาร ในขณะเดียวกันอัลฟัลฟายังถูกนำมาช่วยในการรักษาการติดเชื้อในระบบปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ ไต ต่อมลูกหมากทำงานผิดปกติ อีกทั้งยังช่วยระงับอาการปวดในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบและถุงน้ำต่างๆ ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบที่จะเกิดขึ้นในบางครั้งบางคราว นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มระดับพลังงานในร่างกายเนื่องจากมีคุณสมบัติทางโภชนาการที่สูงมาก

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

คลอโรฟิลล์คืออะไร

คลอโรฟิลล์คืออะไร

แม้ว่าเราจะมีต้นไม้คู่โลกมานมนาน แต่เราก็เพิ่งจะรู้จักกับคลอโรฟิลล์เมื่อไม่นานมานี่เอง มนุษย์เริ่มรู้ว่าคลอโรฟิลล์เป็นสาระสำคัญที่ทำให้พืชมีชีวิตอยู่ได้ก็เมื่อศตวรรษที่ 18 มานี้เอง เมื่อพริสลี่ย์พบว่าพืชที่มีสีเขียวใช้คาร์บอนไตออกไซด์และสร้างออกซิเจนออกมา นั่นเป็นครั้งแรกที่มนุษยชาติรู้จักการสังเคราะห์แสง

ในปี 1817 เพลเลอร์ทีเอร์ และคาเวนโต เป็นผู้ตั้งชื่อสารสีเขียวในพืชว่า คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll)”

ในปี 1909-1914 ดร.ริชาร์ด วิลสแตทเตอร์ จึงเป็นผู้พบโครงสร้างทางเคมีของคลอโรฟิลล์ว่าประกอบด้วย คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจนและออกซิเจน อะตอมทั้งหมดนี้เรียงรายล้อมรอบแมกนีเซียมซึ่งเป็นอะตอมที่อยู่ตรงกลาง จากผลงานนี้เองทำให้ดร.สแตทเตอร์ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1915

ในทางเคมีเรารู้ว่าคลอโรฟิลล์ละลายได้ในไขมัน อยู่ในกลุ่มของกรดไตรคาร์บอกซิลิค คลอโรฟิลล์ประกอบด้วยธาตุที่เป็นโลหะอยู่ตรงกลาง มีสารประกอบเรียงกันเป็นวงเรียกว่า พอร์ไฟริน (prophyrin)” และมีไฟตอลซึ้งเป็นแอลกอฮอล์โครงสร้างยาวเกาะอยู่กับเอสเทอร์ของมัน โครงสร้างดังกล่าวจะถูกไฮโดรไลส์ได้ง่าย จากปฏิกิริยานี้จะได้กลุ่มกรดคาร์บอกซิลิคซึ่งจะถูกเปลี่ยนไปเป็นเกลือตัวหนึ่งที่ละลายน้ำได้ ที่เรารู้จักกันในชื่อของ คลอโรฟิลลิน (Chlorophyllin)” เกลือที่ได้จะผิดกับคลอโรฟิลล์ที่ละลายเฉพาะในไขมัน

ในปี 1930 ดร.ฮันส์ ฟิชเชอร์ก็ได้รับรางวัลโนเบลในฐานะที่ค้นพบโครงสร้างของฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ในเม็ดเลือดแดง ฮีโมโกลบินทำให้เม็ดเลือดของเราเป็นสีแดง เช่นเดียวกับที่คลอโรฟิลล์ทำให้ต้นไม้เป็นสีเขียว การค้นพบครั้งนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์พากันประหลาดใจไปตามๆ กัน เนื่องจากโครงสร้างของฮีโมโกลบินนั้นคล้ายคลึงกับคลอโรฟิลล์เป็นที่สุด จะต่างกันก็แต่ธาตุที่อยู่ตรงกลางของโครงสร้างเท่านั้นเอง คือ คลอโรฟิลล์แมกนีเซียม (Chlorophyll Magnesium)” ส่วนฮีโมโกลบินคือ เหล็ก (Iron)” ดูรูป


เมื่อเราได้กินพืชผักใบสีเขียวเข้าสู่ร่างกายในขณะที่ยัง เขียวสด(ต้องไม่ถูกนึ่ง หรือไม่ถูกต้มจนเป็นสีน้ำตาล) ย่อมจะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์หลายประการ กล่าวคือ

1.) ร่างกายใช้กระบวนการดึงเอา ธาตุแมกนีเซียม ออกแล้วแทนที่ด้วยธาตุเหล็ก พร้อมทั้งปรับแต่งอีกเล็กน้อย ก็จะได้ฮีโมโกลบินอันเป็นองค์ประกอบหลักของเซลล์เม็ดเลือดแดงที่สมบูรณ์อย่างง่ายดาย

โดยธรรมดา ในร่างกายของมนุษย์ขนาดปกติจะสะสมธาตุเหล็กไว้ตลอดเวลาเป็นจำนวนประมาณ 4 กรัม แต่หากเกรงว่าจะขาดธาตุเหล็กก็โปรดนึกถึงอาหารที่มีสีแดงเข้ม เช่น เลือดหมู เลือดไก่ เนื้อวัว เนื้อปลาแซลมอนสด ที่มีสีแดงจัด

2.) ธาตุแมกนีเซียมที่ถูกดึงออกไป จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่การใช้บำรุงรักษาหัวใจของเจ้าของร่างกาย

3.) วิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารอื่นย่อมมีบริบูรณ์ในพืชผักสดมากกว่าในพืชที่สุกด้วยความร้อน ที่สำคัญก็คือ อาหารประเภท วิตามินซี และเอนไซม์จากพืชจะหมดไปทันทีหากถูกความร้อน

4.) อาหารที่เป็นพืชผักย่อมให้สารเส้นใย (Fiber) แก่ร่างกาย ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการลดโอกาสของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ (ซึ่งขณะนี้คนไทยกำลังเป็นโรคนี้ในอัตราที่เพิ่มขึ้นทุกปี) และช่วยลดไขมันและน้ำตาลในกระแสเลือดได้ด้วย

ส่วนใหญ่คลอโรฟิลล์ที่ได้มาจากธรรมชาติ แต่ก็มีคลอโรฟิลล์สังเคราะห์เหมือนกัน คลอโรฟิลล์สังเคราะห์ไม่เหมือนกับคลอโรฟิลล์จากธรรมชาติเสียทีเดียว กล่าวคือมันจะอยู่ในรูปของคลอโรฟิลลินของทองแดง คือในแกนกลางของมันจะเป็นทองแดงแทนที่จะเป็นแมกนีเซียม มีสีเขียวออกฟ้าแทนที่จะมีสีเขียวแบบใบไม้ สามารถละลายในน้ำได้ และเป็นที่สงสัยว่ามันไม่สามารถดูดซึมผ่านระบบย่อยของเราเข้าสู่ร่างกายได้

ทำไมจะต้องสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ขึ้นมาใช้ด้วยเนื่องจากเราหาคลอโรฟิลล์ได้จากธรรมชาติอยู่แล้ว คำตอบก็คือ คลอโรฟิลล์เป็นสารที่ไม่คงทน มันจะสลายตัวได้ง่ายมากเพียงเพราะถูกแสงแดดหรือว่าแห้ง ถึงตอนนั้นคุณสมบัติทางชีวเคมีของมันก็จะหมดไป

ยังมีอีกปัญหาหนึ่งคือ ความที่โครงสร้างของคลอโรฟิลล์ซับซ้อนเป็นโพลิเมอร์ จึงเป็นที่สงสัยกันว่าคลอโรฟิลล์จากธรรมชาติเองก็เถอะจะสามารถดูดซึมเข้าไปในลำไส้ได้มากน้อยแค่ไหน แต่อย่าลืมว่าคลอโรฟิลล์ละลายได้ในไขมัน ร่างกายของเราจะดูดซึมไขมันที่ระดับลำไส้เล็ก จากงานวิจัยในหนู ของนพ.โยชิฮิเดะ ฮากิวารา ปรากฏว่า คลอโรฟิลล์สามารถเข้าสู่ร่างกายได้หมดในระดับลำไส้เล็ก ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นห่วงว่าคลอโรฟิลล์จะถูกดูดซึมเข้าไปใช้ในร่างกายได้หรือไม่

สำหรับปัญหาเรื่องการดูดซึม ยังมีการแก้ปัญหานี้อีกวิธีหนึ่ง กล่าวคือ ได้มีการใช้คลื่นความถี่สูงทำให้วงพอร์ไฟรินแยกออกจากกัน ซึ่งทำให้การดูดซึมเข้าสู่ร่างกายง่ายยิ่งขึ้น และสามารถซึมเข้าสู่ท่อน้ำเหลืองและเข้าสู่กระแสเลือดในทันที

สำหรับความสนใจในการใช้คลอโรฟิลล์เป็นยา ก็มีมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 20 และเพราะคลอโรฟิลล์เกือบจะเหมือนกับฮีโมโกลบิน นักวิทยาศาสตร์จึงสนใจจะใช้คลอโรฟิลล์ไปสร้างเม็ดเลือด และเมื่อให้คลอโรฟิลล์ไปพร้อมๆ กับธาตุเหล็กแล้วผลการรักษายิ่งดีกว่าเดิม

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าคลอโรฟิลล์สามารถเพิ่มอัตราของเมตาโบลิสม์ (metabolism) ในหนู กระต่าย และคน ทั้งยังกระตุ้นหัวใจกบให้เต้นแรงขึ้น รวมทั้งสามารถใช้กระตุ้นหัวใจกบที่หยุดเต้นแล้วให้กลับมาเต้นใหม่ได้ด้วย

ในคนก็มีรายงานว่าคลอโรฟิลล์มีผลในการขยายหลอดเลือด จึงสามารถลดความดันเลือดได้ ทำให้มีคนสนใจใช้คลอโรฟิลล์ในการบำบัดโรคในเวลาต่อมา


แนวคิดแบบธรรมชาติบำบัด

แนวคิดแบบธรรมชาติบำบัด ธรรมชาติเป็นมารดาของสรรพสิ่งในโลกนี้

ร่างกายของเราเป็นประติมากรรมมีชีวิตอันล้ำเลิศที่สุด กระบวนการทำงานของร่างกายเป็นสุดยอดแห่งวิวัฒนาการ โดยที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไม่อาจเทียบได้

ไม่มีเครื่องจักรกลใดๆ ในโลกนี้จะสามารถซ่อมสร้างตัวของมันเองได้เช่นร่างกายของคนเรา ธรรมชาติบำบัดมีมุมมองของการเกิดโรคและการหายจากโรคว่า อาการไม่สบายต่างๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องจากร่างกายของคนผู้นั้นขาดความสมดุล และแท้ที่จริงแล้วร่างกายมันสามารถซ่อมแซมสร้างตัวมันเองได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพียงแต่ว่าเราต้องเอื้อเงื่อนไขที่ดีให้

ดังนั้น ใครก็ตามที่ปฏิบัติตัวตามธรรมชาติและไว้ใจเครื่องจักร มนุษย์ ดูแลตัวเองให้ดีก็จะไม่มีวันเจ็บป่วย ถึงป่วยก็หายเองได้ แนวคิดต่างจากแนวคิดของการแพทย์แผนตะวันตกอย่างสิ้นเชิง

การแพทย์แบบแผนหรือการแพทย์ในโรงพยาบาลมองการเกิดโรคว่ามีสาเหตุใหญ่ๆ 5 ประการคือ

1.) เป็นโรคที่มีความผิดปกติมาแต่กำเนิด ได้แก่ โรคปากแหว่ง มีนิ้วมือ 11 นิ้ว ลิ้นหัวใจพิการ เป็นต้น ซึ่งแน่นอนจะต้องอาศัยการผ่าตัดมาแก้ไขส่วนที่ผิดปกตินั้นๆ แต่การซ่อมแซมสร้างของน้ำมือมนุษย์ก็ไม่เรียบร้อยเท่ากับที่ธรรมชาติลงมือ การผ่าตัดปากแหว่งก็มักเหลือร่องรอยของแผลเป็นให้เห็นอย่างนี้เป็นต้น

2.) เป็นโรคที่เกิดจากอุบัติอันตราย เช่นตกต้นไม้แขนหัก รถชนแล้วกระดูกสะโพกหัก อย่างนี้เป็นตัน การเชื่อมต่อกระดูกตามวิธีการแพทย์แผนปัจจุบันที่แท้แล้วเป็นการสร้างเงื่อนไขให้ร่างกายมีโอกาสซ่อมสร้างตัวเองอย่างหนึ่ง กล่าวคือ หมอจะจำกระดูกที่หักมาต่อกันให้ตรงตามแนวเดิมของกระดูกเท่านั้น ส่วนการซ่อมสร้างกระดูกเชื่อมให้ติดกันดังเดิมเป็นเรื่องที่ร่างกายต้องทำเอง หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทางธรรมชาติทั้งสิ้น

3.) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ การแพทย์ในโรงพยาบาลมองว่า การที่คนเป็นหวัดเพราะมีเชื้อไวรัสเป็นต้นเหตุ การเกิดฝีหรือเจ็บคอ ก็เพราะมีเชื้อแบคทีเรียเป็นตันเหตุ ดังนั้น การแพทย์แผนตะวันตกหรือแผนปัจจุบันจึงมองว่า โรคติดเชื้อเกิดขึ้นเพราะมีไวรัสหรือแบคทีเรียเป็นตันเหตุ การรักษาจึงใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อไวรัสเป็นหลัก ซึ่งเรื่องนี้มนุษย์ก็ยังไม่สามารถเอาชนะเชื้อไวรัสหรือโรคหวัดได้เลย

แต่สำหรับเรื่องนี้ไม่อาจอธิบายได้ทั้งหมด เพราะไม่ทุกคนที่ได้รับเชื้อไวรัสจะเป็นหวัดทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น หากมีคนอยู่ในห้องปิด 10 คน เกิดมีคนที่เป็นหวัดเข้ามาในห้อง ไอแพร่เชื้อไวรัสในห้องนั้น ปรากฏว่า ภายใน 3 วันคนในห้องไม่ทุกคนที่มีอาการหวัด ถ้าจะบอกว่าโรคหวัดเกิดจากเชื้อไวรัสอย่างเดียว คนทั้ง 10 คนในห้องนี้ก็จะต้องเป็นหวัดทุกคน

การที่บางคนไม่เป็นหวัด ก็เพราะร่างกายของเขามีภูมิต้านทานที่ดี ร่างกายสามารถจัดการกับเชื้อไวรัสหวัดได้เองตามธรรมชาติ

จะเห็นได้ว่าปัจจัยชี้ขาดในการเกิดโรคไม่ได้อยู่ที่เชื้อโรคจากภายนอกร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว หากเกิดจากปัจจัยภายใน คือ ภูมิต้านทานของเราต่างหาก

ในทำนองกลับกัน มีเด็กคนหนึ่งที่กินแต่บะหมี่ซอง กินขนมกรุบกรอบหรืออาหารขยะแทนข้าวตั้งเล็กจนกระทั่งอายุ 6 ปี เมื่อป่วยเป็นไข้หวัดในหน้าหนาว ปรากฏว่า โรคลุกลามไปจนกระทั่งเป็นปอดบวมและเกิดติดเชื้อแบคทีเรียแทรก การรักษาโรคปอดบวมในสมัยที่มียาปฏิชีวนะชั้นยอดเช่นทุกวันนี้ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยาก แต่ในรายดังกล่าว กลับปรากฏว่าเด็กเสียชีวิตไปจากโรคปอดบวม เนื่องจากภูมิต้านในตัวต่ำมาก

4.) โรคเกิดจากก้อนเนื้องอก การแพทย์แบบแผนเห็นว่า การที่มีเนื้องอกเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเนื้องอกธรรมดา หรือเนื้อร้ายแบบมะเร็งก็แล้วแต่ เป็นส่วนที่เกินมาของร่างกาย หากจะทำให้ร่างกายคงสภาพเดิมก็ตัดออกเสียก็หมดเรื่อง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่หมอจะรักษาโรคเนื้องอกและมะเร็งด้วยการผ่าตัด และคิดว่าการผ่าตัดขุดเอาเซลล์มะเร็งออกหมดแล้วจะทำให้คนไข้หายจากโรคนั้นๆ

แต่ก็เป็นที่อย่างรู้ๆ กันอยู่ว่า การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกไม่ได้ประกันการหายขาด อาจมีก้อนงอกขึ้นมาใหม่ได้ ซึ่งอาจจะงอกออกมาที่เดิมหรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นก็ได้ แม้ว่าทางการแพทย์จะทำการป้องกันด้วยการใช้สารกัมมันตภาพรังสี หรือยาเคมีก็ตาม

ทุกวันนี้ การที่เรารักษามะเร็งไม่ได้ผลก็เนื่องจากว่า เรามุ่งแต่ตัดเอาก้อนออก มุ่งแต่เอาสารกัมมันตภาพรังสีเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งแต่เพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้เร่งฟื้นฟูภูมิต้านทานในตัว สำหรับการเกิดโรคมะเร็ง มีความจริงอยู่ว่า ที่แท้ทุกวันนี้คนเรามีเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นในร่างกายของเราเป็นปกติ แต่ที่ยังไม่เป็นมะเร็งก็เนื่องจากภูมิต้านทานของเรายังดี เซลล์เม็ดเลือดขาวที่แข็งแรงของเราสามารถทำลายเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นทิ้งภายในเวลาอันรวดเร็วมาก จนกระทั่งเซลล์มะเร็งไม่มีโอกาสเติบโตขึ้นมาเป็นก้อน แต่ถ้าเมื่อใดที่เซลล์เม็ดเลือดขาวของใครก็ตามอ่อนประสิทธิภาพลง ไม่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งทิ้งไปอย่างเคย เซลล์มะเร็งก็จะมีโอกาสแบ่งตัวและโตขึ้นมาเป็นก้อนอย่างรวดเร็ว

ทีนี้ถ้ารักษามะเร็งเพียงแค่ตัดออก หรือเอากัมมันตภาพรังสีเข้าไปไล่ฆ่ามัน โดยไม่สนใจภูมิต้านทาน มะเร็งจึงเป็นโรคที่ทางการแพทย์ยังเอาชนะไม่ได้อย่างทุกวันนี้ ในทางตรงกันข้าม หากมีการประสานการรักษามะเร็งแบบการแพทย์แบบแผนและมีการปรับเปลี่ยนการกินการอยู่ เพื่อฟื้นฟูภูมิต้านทานไปด้วยกัน ซึ่งต้องอาศัยวิธีทางธรรมชาติเข้าช่วย จะทำให้การรักษามะเร็งได้ผลกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

5.) โรคกลุ่มที่เกิดจากสาเหตุที่รวบรวมยังไม่ได้ อันได้แก่ โรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุ หรือยังอธิบายสาเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้ เช่นกลุ่มโรค SLE หรือโรคภูมิต้านทานไวเกินทั้งหลาย

ส่วนแนวคิดต่อการเกิดโรคแบบธรรมชาติบำบัดนั้น ค่อนข้างจะแตกต่างออกไปจากแนวคิดของการแพทย์ตามโรงพยาบาล

ธรรมชาติบำบัดเชื่อว่า โรคและอาการไม่สบายทั้งปวงเกิดขึ้นจากสาเหตุใหญ่ๆ 3 ประการ ได้แก่

1.) อาหารไม่ถูกส่วน ไม่เหมาะสม ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารจำเป็น

การพูดเพียงแต่ว่ากินอาหารให้ครบ 5 หมู่นั้นไม่เป็นการเพียงพอ เพราะการพูดว่าอาหาร 5 หมู่ ไม่ได้ชี้แจงให้ชัดเจนว่าหมู่ไหนจำเป็นต่อร่างกายมากน้อยเพียงใด ต้องกินอะไรมาก กินอะไรน้อย ถ้ากินอาหารบางหมู่ล้นเกินก็จะทำให้เกิดโรคได้ เช่น กินไขมัน กินนม ซึ่งเป็นแหล่งไขมันมากเกินไป ก็จะทำให้เป็นโรคไขมันในเลือดสูง ในทางกลับกัน ถ้าขาดหรือกินผักผลไม้น้อยก็จะทำให้ขาดวิตามินและเกลือแร่ไม่เพียงพอที่จะต้านความเสื่อมของร่างกาย ทำให้แก่ก่อนวัย และเกิดโรคเสื่อมเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคข้ออักเสบ ฯลฯ

กลุ่มอาหารขยะยังจะทำให้ร่างกายได้สารเคมีเข้าไปในร่างกายโดยไม่จำเป็น เช่น สี สารแต่งกลิ่น สารปรุงรส สารกันชื้น สารกันเชื้อรา เป็นต้น นอกจากนี้การบริโภคกาแฟ เหล้า บุหรี่ ล้วนทำลายสุขภาพอย่างที่รู้ๆ กัน

2.) การสะสมสารพิษในร่างกาย

อันเกิดจากการกินอาหารที่ปนเปื้อนหรือกลุ่มอาหารขยะ การรับเอามลพิษรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นมลพิษที่เกิดจากควันพิษจากโรงงาน ท่อไอเสีย ควันบุหรี่ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายไม่สบายได้

3.) การที่ร่างกายและจิตใจขาดสมดุล

ได้แก่โรคกลุ่มที่ความไม่สบายทางกายเกิดจากจิตใจทั้งกลุ่ม เช่น โรคกระเพาะ โรคเครียด นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นต้นเหตุของอาการไม่สบายทั้งปวงมากกว่า 50%

เสาหลักสามประการของธรรมชาติบำบัด

การจะแก้ไขปัญหาสุขภาพแบบธรรมชาติบำบัด จะต้องแก้แบบองค์รวม ทั้งการปรับเปลี่ยนอาหาร การเปลี่ยนวิถีชีวิต ต้องการมีการออกกำลังกาย และการผ่อนคลายความเครียด กระทั่งทำให้ใจสงบโดยการทำสมาธิ ทั้งหมดต้องทำไปพร้อมๆ กันจึงจะทำให้สุขภาพดีขึ้น และต้องอาศัยการล้างพิษเป็นระยะๆ เพื่อขจัดสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ร่างกายสะอาด อันการสร้างเงื่อนไขให้ร่างกายสมานคืน ฟื้นฟูสุขภาพได้ด้วยตัวของมันเอง

เสาหลัก 3 ประการในการป้องกันและรักษาโรคแบบธรรมชาติ ได้แก่

1.) อาหารถูกส่วนและเหมาะสม

2.) ล้างพิษจากร่างกาย

3.) ปรับกายใจสู่ดุลยภาพ

อาหารถูกส่วนและเหมาะสม

การเน้นแต่เรื่องกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่นั้นเป็นการพูดที่ไม่เพียงพอ เนื่องจากจะมีความโน้มเอียงง่ายมากที่จะกินอาหารบางอย่างน้อยเกินไป และกินอาหารบางอย่างมากเกินไป สำหรับที่ว่าอาหารถูกส่วนก็คือ กินอาหารให้ครบทั้งกลุ่มแป้ง น้ำตาล ไขมัน โปรตีน วิตามินและเกลือแร่ แต่ต้องมีปริมาณที่เหมาะสมคือ เหมาะกับที่ร่างกายของเราจะเอาไปสร้างเสริมความแข็งแรง หรือ ซ่อมแซมสร้างส่วนที่ชำรุดไป

อาหารถูกส่วนและเหมาะสมจำเป็นต้องไปด้วยกันเสมอกล่าวคือ

1.) กลุ่มคาร์โบไฮเดรต ความเป็นแบบเชิงซ้อนหรือมีหน้าตาใกล้เคียงกับธรรมชาติ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮล์วีท เป็นต้น อาหารกลุ่มนี้จะให้พลังงานสำหรับการทำงานในแต่ละวัน

2.) กลุ่มผักและผลไม้สด เป็นกลุ่มที่ต้องกินให้มากถึงวันละ 5 ส่วน อาหารกลุ่มนี้มักจะถูกละเลย โดยเข้าใจผิดว่าการกินเนื้อสัตว์ นม ไข่เท่านั้นเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกายแล้ว ปัจจุบันเราอธิบายโรคและอาการไม่สบายที่เกิดขึ้นด้วยทฤษฎีอนุมูลอิสระ เรากล่าวถึงสารต้านอนุมูลอิสระว่าเป็นสารต้านความเสื่อมของร่างกาย สามารถปกป้องร่างกายของเราตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สามารถป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นบนผิวหนัง ต้อกระจก ข้ออักเสบ โรคหลอดเลือดอุดตัน อัมพาต ไปจนกระทั่งโรคมะเร็ง

สารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และเซเลเนียม ซึ่งทั้งหมดนี้จะได้รับจากผักสดและผลไม้สดๆ เท่านั้น และข้าวกล้องที่กินเข้าไปทั้งสิ้น

วิตามินเอ (Vitamin A) หรือเรียกอีกอย่างว่า เบต้าแคโรทีน เป็นวิตามินที่มีมากในผักใบเขียว ผลไม้สีเหลือง แดง ซึ่งต่างจากวิตามินเอ หรือ เรตินอล ที่ได้จากเนื้อนมไข่ ซึ่งไม่ใช่สารต้านอนุมูลอิสระ บทบาทของวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน จะช่วยปกป้องเซลล์ทั่วร่างกายไม่ให้เสื่อมง่าย อาทิเช่น ริ้วรอยเหี่ยวย่น กระ ฝ้าตามผิวหนังก็จะมีน้อย เล็บ ฟัน ผมจะแข็งแรง เบต้าแคโรทีนยังเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์นักฆ่า Killer cell ทำให้สามารถทำลายไวรัสและแบคทีเรียได้เก่งกว่าเดิม อีกทั้งยังสามารถเพิ่มภูมิต้านทานโดยเฉพาะโรคของทางเดินหายใจและสามารถป้องกันมะเร็งได้ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเป็นวิตามินเอเบต้าแคโรทีนที่ได้มาจากธรรมชาติเท่านั้น ไม่ใช่เบต้าแคโรทีนสังเคราะห์

มีรายงานเกี่ยวกับเบต้าแคโรทีนว่า หากใครก็ตามที่มีระดับเบต้าแคโรทีนในเลือดต่ำ เซลล์ร่างกายก็จะไม่มีสารต้านอนุมูลอิสระคอยปกป้อง จะเกิดเป็นมะเร็งอย่างใดอย่างหนึ่งภายใน 20 ปี

ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า คนเราต้องกินผักและผลไม้ โดยเน้นที่ผักใบเขียว ผลไม้สีเหลือง แดง การกินผักสีขาวอย่างผักกาดขาวจะไม่ได้เบต้าแคโรทีนตามต้องการ

วิตามินซี เป้นสารอาหารที่ได้จากความสดของผักและผลไม้ วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ หากไม่มีวิตามินซี เซลล์ของเราก็จะไม่มีการปกป้อง ร่างกายของคนเราไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีขึ้นมาใช้ได้เอง ต้องได้รับมาจากการรับประทานเท่านั้น วิตามินซีมีบทบาทในการสมานแผล เพิ่มภูมิต้านทานโดยเฉพาะต่อโรคทางเดินหายใจ ช่วยรักษาอาการภูมิแพ้ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ช่วยละลายอาการตีบต้นของหลอดเลือด ช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัด ป้องกันโรคมะเร็ง และรักษาอาการเครียด ซึ่งต้องได้มาจากธรรมชาติเท่านั้น การรับประทานวิตามินซีสังเคราะห์หรือเรียกอีกอย่างว่า กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid) เฉยๆ จะไม่ได้ผล นอกจากนี้การรับประทานกรดแอสคอร์บิคในปริมาณมากๆ อาจจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะอีกด้วย

วิตามินอี มีมากในจมูกข้าว ข้าวกล้อง รำข้าว และถั่ว วิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะเสริมฤทธิ์กับวิตามินเอเบต้าแคโรทีนและวิตามินซี จึงเสริมภูมิต้านทาน สามารถป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันและสามารถละลายไขมันอุดตันในหลอดเลือดได้

เซเลเนียม เป็นเกลือแร่ที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในข้าว หอมแดง หอมใหญ่ กระเทียม เซเลเนียมสามารถเสริมภูมิต้านทาน ชะลอความชรา ป้องกันอาการวัยหมดประจำเดือน

การกินผักสดและผลไม้สด เพื่อให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพอนั้น จำเป็นต้องกินให้ได้มากพอ การกินผักวันละใบไม่พอสำหรับการปกป้องเซลล์ร่างกายในสภาวะที่เต็มไปด้วยมลภาวะเป็นพิษเช่นทุกวันนี้

3.) กลุ่มเนื้อสัตว์หรือโปรตีน ให้รับประทานเพียง 100 กรัมต่อวันในผู้ใหญ่ หรือกะขนาดเนื้อสัตว์ที่จะรับประทานให้เท่ากับ 1 ฝ่ามือของตัวเอง ไม่ดื่มนมวัว เพราะจะทำให้ไขมันในเลือดสูง ได้โปรตีนล้นเกิน แต่ในขณะเดียวกันให้หาแหล่งแคลเซียมจากอาหารพื้นบ้านไทย เช่น กุ้งแห้งติดเปลือก ปลาเล็กปลาน้อย งาดำคั่วแล้วป่น เป็นต้น

4.) กลุ่มไขมัน ซึ่งไม่ควรเกินวันละ 20% ของแคลลอรี่ที่กิน ควรกินไขมันที่ไม่อิ่มตัว ถ้าเทียบออกมาเป็นช้อนๆ ก็จะเท่ากับกินน้ำมันวันละประมาณ 3 ช้อนชา และควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลไม่เกินวันละ 300 กรัม

อาหารไทยเป็นอาหารที่มีไขมันกำลังเหมาะ เพราะไม่มากเกินไป อาหารประเภทน้ำพริกผักจิ้ม แกงส้ม แกงเลียง ต้มยำ ลาบ ล้วนแต่มีไขมันอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการ แต่ไม่ควรกินกะทิ นม หรือน้ำมันปาล์ม หรือผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปาล์ม เช่น ครีมเทียมจากน้ำมันปาล์ม เนยแข็ง เป็นต้น เพราะเหล่านี้คือที่มาของกรดไขมันอิ่มตัว

เลี่ยงไข่แดง ไข่ปลา สมองสัตว์ เครื่องในสัตว์ทุกชนิด ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของคอเลสเตอรอล...