วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

คลอโรฟิลล์กับการบำบัดโรค

บทบาทในการรักษาแผล

บทบาทในการสมานแผล กล่าวแล้วว่าคลอโรฟิลล์สามารถใช้รักษาแผล เรียกเนื้อให้แผลหายเร็วกว่าปกติ เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ทั้งยังดับกลิ่นเหม็นของแผล ยกตัวอย่างเช่น

ในปี 1940 โบเออร์ได้ใช้ขี้ผึ้งคลอโรฟิลลินรักษาแผลที่มีหนองกว่า 400 รายที่ติดเชื้อในโรงพยาบาล ปรากฎว่าคลอโรฟิลลินสามารถทำลายหนอง สามารถเรียกเนื้อให้สมานคืนเป็นปกติเร็วกว่ายาใดๆ

ในปี 1980 แอนทีพัสรายงานว่า คลอโรฟิลลินสามารถรักษาแผลเรื้อรังที่รักษายากได้ผล โดยเฉพาะแผลกดทับในผู้ป่วยที่นอนในท่าเดียวนานๆ

พอลล็อคและคณะรายงานว่า เมื่อเปรียบเทียบการรักษาแผลกดทับด้วยวิธีการและยาชนิดต่างๆ ได้แก่ การฟอกแผลด้วยสบู่และน้ำ การใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ฟอกแผล การฉายแสงด้วยแสงอัลตร้าไวโอเล็ต การใช้ขี้ผึ้งซิงค์ออกไซด์ การใช้ขี้ผึ้งซัลฟาไทอาโซล การใช้ขี้ผึ้งไวโอฟอร์ม การใช้ขี้ผึ้งน้ำมันดิน การใช้ไทโอเมอร์โรซอล และขี้ผึ้งเบซิทรซินกับการใช้ขี้ผึ้งคลอโรฟิลล์ ปรากฏผลว่าที่ไม่ได้ผลคือ ซัลฟา ส่วนที่ได้ผลดีที่สุดกลับเป็นคลอโรฟิลล์

บทบาทในการขจัดกลิ่น

จากการใช้คลอโรฟิลล์รักษาแผล เรารู้ว่ากลิ่นเหม็นของแผลลดลงไปได้ภายหลังจากการรักษา ทั้งนี้เนื่องมาจากผลของคลอโรฟิลล์ใน 2 ขอบเขตด้วยกันคือ คลอโรฟิลล์มีผลต่อเมตาโบลิสม์ของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองในแผล ดังนั้นแบคทีเรียจะสร้างสารพิษที่มีกลิ่นเหม็นขึ้นมาไม่ได้อีก อีกขอบเขตหนึ่ง คือ เรารู้ว่าคลอโรฟิลล์โดยตัวของมันเองสามารถกระตุ้นการเติบโตของเนื้อเยื่อ แสดงว่ามันมีฤทธิ์เรียกเนื้อดีให้งอกขึ้นมาคลุมแผลอย่างรวดเร็ว เป็นการปิดโอกาสไม่ให้แบคทีเรียทำลายแผลให้เกิดหนองเหม็นๆ ได้อีก

ดังนั้นคลอโรฟิลล์จึงถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมดับกลิ่น เช่นนำไปผสมทำยาสีฟัน ผสมยาอมดับกลิ่นปาก ผสมในหมากฝรั่งดับกลิ่นปาก โดยเชื่อว่าไม่เพียงแต่คลอโรฟิลล์จะดับกลิ่นได้ดีเมื่อมันสัมผัสกับเนื้อเยื่ออ่อนในปากและลำคอเท่านั้น แต่คลอโรฟิลล์ยังมีฤทธิ์ต่อแบคทีเรีย เป็นการทำลายแบคทีเรียเพื่อลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากปฏิกิริยาของมัน ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์สีเขียวที่ที่ใส่คลอโรฟิลล์เข้าไปโดยหวังว่าจะดับกลิ่นได้อีกมากมาย

การกำจัดกลิ่นจากแผล แผลอักเสบ แผลหนอง แผลก้นลึก ล้วนส่งกลิ่นน่ารังเกียจ นอกจากนี้ยังมีแผลจากกระดูกอักเสบ โพรงจมูกอักเสบ แผลของมะเร็ง เหล่านี้ล้วนใช้คลอโรฟิลล์ดังกลิ่นได้ผล เหตุผลก็คือ การที่คลอโรฟิลล์ขัดขวางเมตาโบลิสม์ของแบคทีเรีย ทำให้มันไม่สามารถสลายโปรตีนในเนื้อเราออกมาเป็นหนองได้ กลิ่นเหม็นจากปฏิกิริยาสลายโปรตีนก็จะหมดไปเอง หลังจากใช้คลอโรฟิลล์แล้วต่างได้รับคำยืนยันจากทั้งผู้ป่วยเอง ญาติผู้ป่วย พยาบาลและหมอผู้ทำการรักษาว่ากลิ่นเหม็นลดลงเป็นที่น่าพอใจ

บทบาทของกล้าข้าวสาลี (wheatgrass) ในการต้านมะเร็ง

สำหรับบทบาทในการต้านมะเร็งนั้น คงต้องเข้าใจธรรมชาติของการเกิดมะเร็งก่อนว่า มะเร็งเกิดขึ้นได้เพราะร่างกายของเรามีภูมิต้านทานอ่อนแอลง โดยทั่วไปในร่างกายของเราทุกคนมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นเป็นปกติ ซึ่งเกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ผิดพลาด แต่ที่ยังไม่เป็นมะเร็งเพราะเรามีระบบภูมิต้านทานที่ธรรมชาติให้มานั้นทำงานอย่างมีประสิทธิภาพดียิ่ง เมื่อใดก็ตามที่เกิดเซลล์มะเร็งขึ้นในร่างกาย เม็ดเลือดขาวจะทำหน้าที่ทำลายเซลล์แปลกปลอมทิ้งในทันที จึงไม่มีโอกาสโขขึ้นมาเป็นก้อนมะเร็ง ตรงกันข้าม เมื่อใดก็ตามเซลล์ภูมิต้านทานของเราอ่อนแอลง เม็ดเลือดขาวก็จะสูญเสียความสามารถในการทำลายเซลล์มะเร็งทิ้ง ดังนั้นเซลล์มะเร็งจึงไม่ถูกทำลายและโตขึ้นมาเป็นก้อนและก่อให้เกิดโรคมะเร็งตามอวัยวะต่างๆ

การเกิดโรคมะเร็งจึงไม่ใช่เป็นเรื่องของความผิดปกติเพียงแค่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นความผิดพลาดของทั้งระบบของร่างกาย ระบบใหญ่คือระบบภูมิต้านทานเสียไป การรักษามะเร็งจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำอย่างไรจะฟื้นภูมิต้านทานให้กลับมาดีดังเดิม

ที่ผ่านมาการรักษามะเร็งในโรงพยาบาลเป็นการรักษาเฉพาะอวัยวะ เป็นมะเร็งที่ไหนก็ตัดตรงนั้นทิ้ง ฉายแสงทำลายก้อนมะเร็งแต่ตรงนั้นทั้ง ให้เคมีเพื่อใช้กัมมันตภาพรังสีไปไล่จับเซลล์มะเร็งที่เพ่นพ่านไปทั่วร่างกาย เป็นการรักษาเป็นจุดประสงค์สองอย่างนี้เท่านั้น สิ่งที่การแพทย์ในโรงพยาบาลไม่ได้ทำก็คือ ไม่ได้ฟื้นฟูภูมิต้านทานของเจ้าตัวให้กลับคืนปกติ

ดังนั้นการรักษามะเร็งของการแพทย์ทุกวันนี้จึงค่อนข้างล้มเหลว เพราะไม่ได้ฟื้นฟูภูมิต้านทาน เมื่อก้อนเนื้อถูกตัดไป หรือก้อนยุบลง จึงเป็นการหายแบบชั่วคราว เมื่อภูมิต้านทานยังคงเดิม ไม่นานก็จะกลับเป็นมะเร็งขึ้นมาใหม่ ทำให้การรักษาไม่หายขาดและประสบความล้มเหลวสูงเช่นทุกวันนี้

ดร.แอนด์ วิคมอร์ เชื่อว่าโรคมะเร็งเป็นโรคที่รักษาหายได้ แต่ต้องให้ร่างกายของเจ้าตัวรักษาตัวเอง เช่นเดียวกับการที่เกิดบาดแผล เกิดรอยช้ำ เกิดโรคหวัด แล้วร่างกายของเรารักษาแผล รักษาหวัดโดยตัวของมันเอง นั่นแปลว่าภูมิต้านทานภายในตัวของเราจะมีบทบาทอย่างสูงในการรักษามะเร็ง และดร.แอนด์ วิคมอร์ ยังเชื่อว่าร่างกายของเราจะสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่เป็นมะเร็ง ซึ่งเป็นกระบวนการหายของมะเร็งตามธรรมชาติ

เคล็ดลับที่จะหายจากโรคมะเร็งประการแรกที่สุดก็คือพลังใจ คนที่หายจากโรคมะเร็งได้จะต้องเป็นคนที่ตั้งใจมั่นที่จะอยู่มีชีวิตต่อไป จะสู้กับเซลล์มะเร็งต่อไป ความคิดชนิดนี้จะทำให้ร่างกายเกิดพลัง ซึ่งเข้มแข็งพอที่จะฟื้นระบบภูมิต้านทานขึ้นมา การฟื้นระบบภูมิต้านทานสามารถทำได้ดังนี้คือ

1.) จะต้องลดสิ่งที่บั่นทอนความแข็งแกร่งของภูมิต้านทานในร่างกายลง ได้แก่

- ความเครียด ทั้งในบ้านและในการงาน

- อาหารขยะ สีผสมอาหาร กลิ่น รส ที่เป็นสารเคมี อาหารดัดแปลง อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ที่เต็มไปด้วยสารกันบูดกันเชื้อรา กันหืน

2.) จะต้องเพิ่มภูมิต้านทานโดยการล้างพิษที่มาจากอาหารข้างต้นที่มีอยู่ในตัว โดยการใช้อาหารสดจากธรรมชาติ

สำหรับกล้าข้าวสาลีมีงานวิจัยมากมายชี้ว่าในกล้าข้าวสาลีจะมีสารต้านมะเร็งมากมาย เช่น กรดแอบซิลิค ลีทราย ซึ่งอาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วิตามินบี 17 และวิตามินซีปริมาณสูง

กรดแอบซิลิคเป็นฮอร์โมนพืชตัวหนึ่งที่ป้องกันเมล็ดข้าวสาลีไม่ให้งอกจนกว่าจะมีเงื่อนไขที่เหมาะสม จากงานวิจัยในห้องปฏิบัติการ นักวิทยาศาสตร์พบว่ากรดแอบซิลิคสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งไม่ว่ามะเร็งอะไรทิ้งได้ สัตว์ทดลองที่เป็นมะเร็ง หากฉีกกรดแอบซิลิค ก้อนมะเร็งจะฝ่อลงอย่างรวดเร็ว

สำหรับลีทรายหรือวิตามินบี 17 ดร.เอิร์น เครปเป็นผู้ค้นพบครั้งแรกในเมล็ดแอบปริคอต แต่ต่อมาพบในเมล็ดเชอรี่ และในกล้าข้าวสาลีด้วย วิตามินตัวนี้สามารถเลือกฆ่าเซลล์มะเร็งได้ โดยที่ไม่ทำอันตรายต่อเซลล์ร่างกาย

วิตามินซีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการหายจากโรคมะเร็ง เนื่องจากวิตามินซีมีบทบาท 2 ประการที่สำคัญคือ เพิ่มภูมิต้านทานให้กบเม็ดเลือดขาว และยับยั้งการลุกลามของมะเร็ง บทบาทในการเพิ่มภูมิต้านทานของเม็ดเลือดขาว มีความเป็นมาดังนี้คือ เม็ดเลือดขาวหากถูกนำออกไปนอกร่างกายแล้วมันจะตายง่ายมาก หากหยดวิตามินซีให้มัน มันจะแข็งแรงอยู่ได้นานกว่า นักวิทยาศาสตร์รู้ความจริงข้อนี้มานานแล้ว จนกระทั่ง ดร.ไลนัส พอลลิ่ง ใช้วิตามินซีปริมาณสูงป้องกันโรคหวัดได้ เรารู้ว่าหวัดเกิดจากเชื้อไวรัส มีทางเดียวที่จะป้องกันหวัดคือทำให้ภูมิต้านทานแข็งแรงขึน เมื่อไรก็ตามที่ให้วิตามินซีกับเม็ดเลือดขาว มันจะทำลายไวรัสที่เข้าสู่ร่างกายได้เก่งขึ้น ในทำนองเดียวกัน วิตามินซีก็มีบทบาทเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเม็ดเลือดขาวในกรณีของมะเร็ง เนื่องจาก ดร.ไลนัส พอลลิ่ง ใช้วิตามินซีปริมาณ 10 กรัม/วัน รักษามะเร็งในระยะสุดท้ายให้มีอายุยืนยาวออกไปกว่า 3-10 เท่า

ในภายหลังเราจึงรู้อีกว่า วิตามินซียังสามารถยับยั้งการลุกลามของมะเร็งได้อีกด้วย เนื่องจากมันสามารถหยุดเอนไซม์จากก้อนมะเร็งที่ชื่อ ไฮยาลูโรนิเดส ไม่ให้เซาะเอาเซลล์มะเร็งให้หลุดจากก้อนให้ล่องลอยไปตามกระแสเลือดไปยังอวัยวะอื่นอีกด้วย

ดังนั้นบทบาทของวิตามินซีจึงมีสองประการดังกล่าว แต่มีข้อแม้ว่า วิตามินซีที่จะเสริมประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาวและหยุดการลุกลามของมะเร็งได้ จะต้องเป็นวิตามินซีที่มาจากธรรมชาติเท่านั้น

ในขณะที่กล้าข้าวสาลีกำลังงอก มันจะมีวิตามินซีสูงมาก โดยสูงกว่าเดิมตอนเป็นเมล็ดถึง 600 เท่า ในปี 1984 ดร.โรบินสัน รายงานว่า น้ำคั้นจากกล้าข้าวสาลีสามารถลดความรุนแรงของมะเร็งในหนูทดลองลง 75 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ยังเชื่อว่า การที่กล้าข้าวสาลีมีบทบาทในการรักษามะเร็ง เป็นเพราะมันมีคลอโรฟิลล์ที่มีลักษณะคล้ายกับฮีโมโกลบิน การดื่มน้ำคั้นจากข้าวสาลีเป็นประจำจะช่วยในเรื่องของการเพิ่มเม็ดเลือด ทำให้เนื้อเยื่อทั่วร่างกายได้รับออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น ทำให้ภูมิต้านทานเพิ่มมากขึ้น

บทบาทของคลอโรฟิลล์ในการรักษาโรคเลือดจาง

กล่าวแล้วว่า โครงสร้างของคลอโรฟิลลินคล้ายคลึงกันกับฮีโมโกลบินมาก เพียงแต่ร่างกายเปลี่ยนจากแมกนีเซียมตรงใจกลางของคลอโรฟิลล์เป็นธาตุเหล็กเท่านั้นเอง ร่างกายก็จะได้ฮีโมโกลบินไปสร้างเม็ดเลือดแดง สามารถแก้อาการเลือดจางในสัตว์ทดลองอย่างรวดเร็ว มีรายงานของ นพ.อาร์เธอร์ ปาเทก จากโรงพยาบาลบอสตัน รักษาผู้ป่วยโรคเลือดจาง 15 ราย พบว่าเมื่อให้คลอโรฟิลล์ไปพร้อมๆ กับธาตุเหล็ก ปรากฏว่า สามารถแก้ภาวะเลือดจากและกระตุ้นไขกระดูกให้มีการสร้างเม็ดเลือดใหม่ๆ ได้ แสดงว่าสามารถใช้โครงสร้างของคลอโรฟิลล์มาแทนโครงสร้างของฮีโมโกลบินในร่างกายของคนเราได้

ในรายของผู้ป่วยที่เป็นโรคเลือดชนิด ธาลัสซีเมีย ที่มีภาวะเลือดจางและมีธาตุเหล็กคั่งในร่างกายอยู่แล้ว การใช้คลอโรฟิลล์ น่าจะเป็นคำตอบหนึ่งในการรักษาเม็ดเลือดแดงเอาไว้ เพราะในผู้ป่วยดังกล่าวเม็ดเลือดแดงจะแตกง่ายมาก

บทบาทการใช้คลอโรฟิลล์รักษาอาการท้องผูก

สำหรับปัญหาท้องผูก การใช้ยาระบายท้องผูกจะก่อให้เกิดปัญหาท้องผูกเรื้อรังตามมา เพราะการใช้ยาระบายจะทำให้ลำไส้บวม ไม่มีแรงขับถ่ายจึงถ่ายเองไม่ได้ ผู้สูงอายุจึงต้องพึ่งยาระบายเป็นประจำ ในขณะที่ใช้ยาระบายก็เพิ่มความบวมให้กับลำไส้ไปอีก ทำให้ถ่ายยากยิ่งขึ้น หากใช้ยาระบาย ก็เลยติดยาระบาย

วิธีนี้สามารถใช้คลอโรฟิลล์แก้ได้ หากใช้ยาเม็ดคลอโรฟิลล์ก็ใช้วันละ 2-3 ครั้ง การกินคลอโรฟิลล์จะทำให้ถ่ายทุกวัน เพียงแต่ว่าอุจจาระอาจจะมีสีเขียว การใช้คลอโรฟิลล์ในกรณีของผู้สูงอายุมีข้อดีตรงที่ไม่มีผลข้างเคียงของยา ไม่ทำให้ลำไส้บวมเหมือนกับการใช้ยาระบาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น