แนวคิดแบบธรรมชาติบำบัด ธรรมชาติเป็นมารดาของสรรพสิ่งในโลกนี้
ร่างกายของเราเป็นประติมากรรมมีชีวิตอันล้ำเลิศที่สุด กระบวนการทำงานของร่างกายเป็นสุดยอดแห่งวิวัฒนาการ โดยที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไม่อาจเทียบได้
ไม่มีเครื่องจักรกลใดๆ ในโลกนี้จะสามารถซ่อมสร้างตัวของมันเองได้เช่นร่างกายของคนเรา ธรรมชาติบำบัดมีมุมมองของการเกิดโรคและการหายจากโรคว่า อาการไม่สบายต่างๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องจากร่างกายของคนผู้นั้นขาดความสมดุล และแท้ที่จริงแล้วร่างกายมันสามารถซ่อมแซมสร้างตัวมันเองได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพียงแต่ว่าเราต้องเอื้อเงื่อนไขที่ดีให้
ดังนั้น ใครก็ตามที่ปฏิบัติตัวตามธรรมชาติและไว้ใจเครื่องจักร มนุษย์ ดูแลตัวเองให้ดีก็จะไม่มีวันเจ็บป่วย ถึงป่วยก็หายเองได้ แนวคิดต่างจากแนวคิดของการแพทย์แผนตะวันตกอย่างสิ้นเชิง
การแพทย์แบบแผนหรือการแพทย์ในโรงพยาบาลมองการเกิดโรคว่ามีสาเหตุใหญ่ๆ 5 ประการคือ
1.) เป็นโรคที่มีความผิดปกติมาแต่กำเนิด ได้แก่ โรคปากแหว่ง มีนิ้วมือ
2.) เป็นโรคที่เกิดจากอุบัติอันตราย เช่นตกต้นไม้แขนหัก รถชนแล้วกระดูกสะโพกหัก อย่างนี้เป็นตัน การเชื่อมต่อกระดูกตามวิธีการแพทย์แผนปัจจุบันที่แท้แล้วเป็นการสร้างเงื่อนไขให้ร่างกายมีโอกาสซ่อมสร้างตัวเองอย่างหนึ่ง กล่าวคือ หมอจะจำกระดูกที่หักมาต่อกันให้ตรงตามแนวเดิมของกระดูกเท่านั้น ส่วนการซ่อมสร้างกระดูกเชื่อมให้ติดกันดังเดิมเป็นเรื่องที่ร่างกายต้องทำเอง หรือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทางธรรมชาติทั้งสิ้น
3.) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ การแพทย์ในโรงพยาบาลมองว่า การที่คนเป็นหวัดเพราะมีเชื้อไวรัสเป็นต้นเหตุ การเกิดฝีหรือเจ็บคอ ก็เพราะมีเชื้อแบคทีเรียเป็นตันเหตุ ดังนั้น การแพทย์แผนตะวันตกหรือแผนปัจจุบันจึงมองว่า โรคติดเชื้อเกิดขึ้นเพราะมีไวรัสหรือแบคทีเรียเป็นตันเหตุ การรักษาจึงใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อไวรัสเป็นหลัก ซึ่งเรื่องนี้มนุษย์ก็ยังไม่สามารถเอาชนะเชื้อไวรัสหรือโรคหวัดได้เลย
แต่สำหรับเรื่องนี้ไม่อาจอธิบายได้ทั้งหมด เพราะไม่ทุกคนที่ได้รับเชื้อไวรัสจะเป็นหวัดทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น หากมีคนอยู่ในห้องปิด 10 คน เกิดมีคนที่เป็นหวัดเข้ามาในห้อง ไอแพร่เชื้อไวรัสในห้องนั้น ปรากฏว่า ภายใน 3 วันคนในห้องไม่ทุกคนที่มีอาการหวัด ถ้าจะบอกว่าโรคหวัดเกิดจากเชื้อไวรัสอย่างเดียว คนทั้ง 10 คนในห้องนี้ก็จะต้องเป็นหวัดทุกคน
การที่บางคนไม่เป็นหวัด ก็เพราะร่างกายของเขามีภูมิต้านทานที่ดี ร่างกายสามารถจัดการกับเชื้อไวรัสหวัดได้เองตามธรรมชาติ
จะเห็นได้ว่าปัจจัยชี้ขาดในการเกิดโรคไม่ได้อยู่ที่เชื้อโรคจากภายนอกร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว หากเกิดจากปัจจัยภายใน คือ ภูมิต้านทานของเราต่างหาก
ในทำนองกลับกัน มีเด็กคนหนึ่งที่กินแต่บะหมี่ซอง กินขนมกรุบกรอบหรืออาหารขยะแทนข้าวตั้งเล็กจนกระทั่งอายุ 6 ปี เมื่อป่วยเป็นไข้หวัดในหน้าหนาว ปรากฏว่า โรคลุกลามไปจนกระทั่งเป็นปอดบวมและเกิดติดเชื้อแบคทีเรียแทรก การรักษาโรคปอดบวมในสมัยที่มียาปฏิชีวนะชั้นยอดเช่นทุกวันนี้ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยาก แต่ในรายดังกล่าว กลับปรากฏว่าเด็กเสียชีวิตไปจากโรคปอดบวม เนื่องจากภูมิต้านในตัวต่ำมาก
4.) โรคเกิดจากก้อนเนื้องอก การแพทย์แบบแผนเห็นว่า การที่มีเนื้องอกเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเนื้องอกธรรมดา หรือเนื้อร้ายแบบมะเร็งก็แล้วแต่ เป็นส่วนที่เกินมาของร่างกาย หากจะทำให้ร่างกายคงสภาพเดิมก็ตัดออกเสียก็หมดเรื่อง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่หมอจะรักษาโรคเนื้องอกและมะเร็งด้วยการผ่าตัด และคิดว่าการผ่าตัดขุดเอาเซลล์มะเร็งออกหมดแล้วจะทำให้คนไข้หายจากโรคนั้นๆ
แต่ก็เป็นที่อย่างรู้ๆ กันอยู่ว่า การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกไม่ได้ประกันการหายขาด อาจมีก้อนงอกขึ้นมาใหม่ได้ ซึ่งอาจจะงอกออกมาที่เดิมหรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นก็ได้ แม้ว่าทางการแพทย์จะทำการป้องกันด้วยการใช้สารกัมมันตภาพรังสี หรือยาเคมีก็ตาม
ทุกวันนี้ การที่เรารักษามะเร็งไม่ได้ผลก็เนื่องจากว่า เรามุ่งแต่ตัดเอาก้อนออก มุ่งแต่เอาสารกัมมันตภาพรังสีเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งแต่เพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้เร่งฟื้นฟูภูมิต้านทานในตัว สำหรับการเกิดโรคมะเร็ง มีความจริงอยู่ว่า ที่แท้ทุกวันนี้คนเรามีเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นในร่างกายของเราเป็นปกติ แต่ที่ยังไม่เป็นมะเร็งก็เนื่องจากภูมิต้านทานของเรายังดี เซลล์เม็ดเลือดขาวที่แข็งแรงของเราสามารถทำลายเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นทิ้งภายในเวลาอันรวดเร็วมาก จนกระทั่งเซลล์มะเร็งไม่มีโอกาสเติบโตขึ้นมาเป็นก้อน แต่ถ้าเมื่อใดที่เซลล์เม็ดเลือดขาวของใครก็ตามอ่อนประสิทธิภาพลง ไม่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งทิ้งไปอย่างเคย เซลล์มะเร็งก็จะมีโอกาสแบ่งตัวและโตขึ้นมาเป็นก้อนอย่างรวดเร็ว
ทีนี้ถ้ารักษามะเร็งเพียงแค่ตัดออก หรือเอากัมมันตภาพรังสีเข้าไปไล่ฆ่ามัน โดยไม่สนใจภูมิต้านทาน มะเร็งจึงเป็นโรคที่ทางการแพทย์ยังเอาชนะไม่ได้อย่างทุกวันนี้ ในทางตรงกันข้าม หากมีการประสานการรักษามะเร็งแบบการแพทย์แบบแผนและมีการปรับเปลี่ยนการกินการอยู่ เพื่อฟื้นฟูภูมิต้านทานไปด้วยกัน ซึ่งต้องอาศัยวิธีทางธรรมชาติเข้าช่วย จะทำให้การรักษามะเร็งได้ผลกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
5.) โรคกลุ่มที่เกิดจากสาเหตุที่รวบรวมยังไม่ได้ อันได้แก่ โรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุ หรือยังอธิบายสาเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้ เช่นกลุ่มโรค SLE หรือโรคภูมิต้านทานไวเกินทั้งหลาย
ส่วนแนวคิดต่อการเกิดโรคแบบธรรมชาติบำบัดนั้น ค่อนข้างจะแตกต่างออกไปจากแนวคิดของการแพทย์ตามโรงพยาบาล
ธรรมชาติบำบัดเชื่อว่า โรคและอาการไม่สบายทั้งปวงเกิดขึ้นจากสาเหตุใหญ่ๆ 3 ประการ ได้แก่
1.) อาหารไม่ถูกส่วน ไม่เหมาะสม ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารจำเป็น
การพูดเพียงแต่ว่ากินอาหารให้ครบ 5 หมู่นั้นไม่เป็นการเพียงพอ เพราะการพูดว่าอาหาร 5 หมู่ ไม่ได้ชี้แจงให้ชัดเจนว่าหมู่ไหนจำเป็นต่อร่างกายมากน้อยเพียงใด ต้องกินอะไรมาก กินอะไรน้อย ถ้ากินอาหารบางหมู่ล้นเกินก็จะทำให้เกิดโรคได้ เช่น กินไขมัน กินนม ซึ่งเป็นแหล่งไขมันมากเกินไป ก็จะทำให้เป็นโรคไขมันในเลือดสูง ในทางกลับกัน ถ้าขาดหรือกินผักผลไม้น้อยก็จะทำให้ขาดวิตามินและเกลือแร่ไม่เพียงพอที่จะต้านความเสื่อมของร่างกาย ทำให้แก่ก่อนวัย และเกิดโรคเสื่อมเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคข้ออักเสบ ฯลฯ
กลุ่มอาหารขยะยังจะทำให้ร่างกายได้สารเคมีเข้าไปในร่างกายโดยไม่จำเป็น เช่น สี สารแต่งกลิ่น สารปรุงรส สารกันชื้น สารกันเชื้อรา เป็นต้น นอกจากนี้การบริโภคกาแฟ เหล้า บุหรี่ ล้วนทำลายสุขภาพอย่างที่รู้ๆ กัน
2.) การสะสมสารพิษในร่างกาย
อันเกิดจากการกินอาหารที่ปนเปื้อนหรือกลุ่มอาหารขยะ การรับเอามลพิษรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นมลพิษที่เกิดจากควันพิษจากโรงงาน ท่อไอเสีย ควันบุหรี่ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายไม่สบายได้
3.) การที่ร่างกายและจิตใจขาดสมดุล
ได้แก่โรคกลุ่มที่ความไม่สบายทางกายเกิดจากจิตใจทั้งกลุ่ม เช่น โรคกระเพาะ โรคเครียด นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้เป็นต้นเหตุของอาการไม่สบายทั้งปวงมากกว่า 50%
เสาหลักสามประการของธรรมชาติบำบัด
การจะแก้ไขปัญหาสุขภาพแบบธรรมชาติบำบัด จะต้องแก้แบบองค์รวม ทั้งการปรับเปลี่ยนอาหาร การเปลี่ยนวิถีชีวิต ต้องการมีการออกกำลังกาย และการผ่อนคลายความเครียด กระทั่งทำให้ใจสงบโดยการทำสมาธิ ทั้งหมดต้องทำไปพร้อมๆ กันจึงจะทำให้สุขภาพดีขึ้น และต้องอาศัยการล้างพิษเป็นระยะๆ เพื่อขจัดสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ร่างกายสะอาด อันการสร้างเงื่อนไขให้ร่างกายสมานคืน ฟื้นฟูสุขภาพได้ด้วยตัวของมันเอง
เสาหลัก 3 ประการในการป้องกันและรักษาโรคแบบธรรมชาติ ได้แก่
1.) อาหารถูกส่วนและเหมาะสม
2.) ล้างพิษจากร่างกาย
3.) ปรับกายใจสู่ดุลยภาพ
อาหารถูกส่วนและเหมาะสม
การเน้นแต่เรื่องกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่นั้นเป็นการพูดที่ไม่เพียงพอ เนื่องจากจะมีความโน้มเอียงง่ายมากที่จะกินอาหารบางอย่างน้อยเกินไป และกินอาหารบางอย่างมากเกินไป สำหรับที่ว่าอาหารถูกส่วนก็คือ กินอาหารให้ครบทั้งกลุ่มแป้ง น้ำตาล ไขมัน โปรตีน วิตามินและเกลือแร่ แต่ต้องมีปริมาณที่เหมาะสมคือ เหมาะกับที่ร่างกายของเราจะเอาไปสร้างเสริมความแข็งแรง หรือ ซ่อมแซมสร้างส่วนที่ชำรุดไป
อาหารถูกส่วนและเหมาะสมจำเป็นต้องไปด้วยกันเสมอกล่าวคือ
1.) กลุ่มคาร์โบไฮเดรต ความเป็นแบบเชิงซ้อนหรือมีหน้าตาใกล้เคียงกับธรรมชาติ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮล์วีท เป็นต้น อาหารกลุ่มนี้จะให้พลังงานสำหรับการทำงานในแต่ละวัน
2.) กลุ่มผักและผลไม้สด เป็นกลุ่มที่ต้องกินให้มากถึงวันละ 5 ส่วน อาหารกลุ่มนี้มักจะถูกละเลย โดยเข้าใจผิดว่าการกินเนื้อสัตว์ นม ไข่เท่านั้นเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกายแล้ว ปัจจุบันเราอธิบายโรคและอาการไม่สบายที่เกิดขึ้นด้วยทฤษฎีอนุมูลอิสระ เรากล่าวถึงสารต้านอนุมูลอิสระว่าเป็นสารต้านความเสื่อมของร่างกาย สามารถปกป้องร่างกายของเราตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สามารถป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นบนผิวหนัง ต้อกระจก ข้ออักเสบ โรคหลอดเลือดอุดตัน อัมพาต ไปจนกระทั่งโรคมะเร็ง
สารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และเซเลเนียม ซึ่งทั้งหมดนี้จะได้รับจากผักสดและผลไม้สดๆ เท่านั้น และข้าวกล้องที่กินเข้าไปทั้งสิ้น
วิตามินเอ (Vitamin A) หรือเรียกอีกอย่างว่า เบต้าแคโรทีน เป็นวิตามินที่มีมากในผักใบเขียว ผลไม้สีเหลือง แดง ซึ่งต่างจากวิตามินเอ หรือ เรตินอล ที่ได้จากเนื้อนมไข่ ซึ่งไม่ใช่สารต้านอนุมูลอิสระ บทบาทของวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน จะช่วยปกป้องเซลล์ทั่วร่างกายไม่ให้เสื่อมง่าย อาทิเช่น ริ้วรอยเหี่ยวย่น กระ ฝ้าตามผิวหนังก็จะมีน้อย เล็บ ฟัน ผมจะแข็งแรง เบต้าแคโรทีนยังเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์นักฆ่า Killer cell ทำให้สามารถทำลายไวรัสและแบคทีเรียได้เก่งกว่าเดิม อีกทั้งยังสามารถเพิ่มภูมิต้านทานโดยเฉพาะโรคของทางเดินหายใจและสามารถป้องกันมะเร็งได้ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเป็นวิตามินเอเบต้าแคโรทีนที่ได้มาจากธรรมชาติเท่านั้น ไม่ใช่เบต้าแคโรทีนสังเคราะห์
มีรายงานเกี่ยวกับเบต้าแคโรทีนว่า หากใครก็ตามที่มีระดับเบต้าแคโรทีนในเลือดต่ำ เซลล์ร่างกายก็จะไม่มีสารต้านอนุมูลอิสระคอยปกป้อง จะเกิดเป็นมะเร็งอย่างใดอย่างหนึ่งภายใน 20 ปี
ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า คนเราต้องกินผักและผลไม้ โดยเน้นที่ผักใบเขียว ผลไม้สีเหลือง แดง การกินผักสีขาวอย่างผักกาดขาวจะไม่ได้เบต้าแคโรทีนตามต้องการ
วิตามินซี เป้นสารอาหารที่ได้จากความสดของผักและผลไม้ วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ หากไม่มีวิตามินซี เซลล์ของเราก็จะไม่มีการปกป้อง ร่างกายของคนเราไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีขึ้นมาใช้ได้เอง ต้องได้รับมาจากการรับประทานเท่านั้น วิตามินซีมีบทบาทในการสมานแผล เพิ่มภูมิต้านทานโดยเฉพาะต่อโรคทางเดินหายใจ ช่วยรักษาอาการภูมิแพ้ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ช่วยละลายอาการตีบต้นของหลอดเลือด ช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัด ป้องกันโรคมะเร็ง และรักษาอาการเครียด ซึ่งต้องได้มาจากธรรมชาติเท่านั้น การรับประทานวิตามินซีสังเคราะห์หรือเรียกอีกอย่างว่า กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid) เฉยๆ จะไม่ได้ผล นอกจากนี้การรับประทานกรดแอสคอร์บิคในปริมาณมากๆ อาจจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะอีกด้วย
วิตามินอี มีมากในจมูกข้าว ข้าวกล้อง รำข้าว และถั่ว วิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะเสริมฤทธิ์กับวิตามินเอเบต้าแคโรทีนและวิตามินซี จึงเสริมภูมิต้านทาน สามารถป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันและสามารถละลายไขมันอุดตันในหลอดเลือดได้
เซเลเนียม เป็นเกลือแร่ที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในข้าว หอมแดง หอมใหญ่ กระเทียม เซเลเนียมสามารถเสริมภูมิต้านทาน ชะลอความชรา ป้องกันอาการวัยหมดประจำเดือน
การกินผักสดและผลไม้สด เพื่อให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระอย่างเพียงพอนั้น จำเป็นต้องกินให้ได้มากพอ การกินผักวันละใบไม่พอสำหรับการปกป้องเซลล์ร่างกายในสภาวะที่เต็มไปด้วยมลภาวะเป็นพิษเช่นทุกวันนี้
3.) กลุ่มเนื้อสัตว์หรือโปรตีน ให้รับประทานเพียง 100 กรัมต่อวันในผู้ใหญ่ หรือกะขนาดเนื้อสัตว์ที่จะรับประทานให้เท่ากับ 1 ฝ่ามือของตัวเอง ไม่ดื่มนมวัว เพราะจะทำให้ไขมันในเลือดสูง ได้โปรตีนล้นเกิน แต่ในขณะเดียวกันให้หาแหล่งแคลเซียมจากอาหารพื้นบ้านไทย เช่น กุ้งแห้งติดเปลือก ปลาเล็กปลาน้อย งาดำคั่วแล้วป่น เป็นต้น
4.) กลุ่มไขมัน ซึ่งไม่ควรเกินวันละ 20% ของแคลลอรี่ที่กิน ควรกินไขมันที่ไม่อิ่มตัว ถ้าเทียบออกมาเป็นช้อนๆ ก็จะเท่ากับกินน้ำมันวันละประมาณ 3 ช้อนชา และควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลไม่เกินวันละ
อาหารไทยเป็นอาหารที่มีไขมันกำลังเหมาะ เพราะไม่มากเกินไป อาหารประเภทน้ำพริกผักจิ้ม แกงส้ม แกงเลียง ต้มยำ ลาบ ล้วนแต่มีไขมันอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการ แต่ไม่ควรกินกะทิ นม หรือน้ำมันปาล์ม หรือผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปาล์ม เช่น ครีมเทียมจากน้ำมันปาล์ม เนยแข็ง เป็นต้น เพราะเหล่านี้คือที่มาของกรดไขมันอิ่มตัว
เลี่ยงไข่แดง ไข่ปลา สมองสัตว์ เครื่องในสัตว์ทุกชนิด ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของคอเลสเตอรอล...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น