กล่าวแล้วว่าเราสามารถใช้คลอโรฟิลล์ในการรักษาโรคเลือดจางมานานแล้ว ต่อมาก็เอาไปใช้เป็นยาสมานแผล รักษาแผลที่มีหนองฝีและพบว่าคลอโรฟิลล์สามาถดับกลิ่นเหม็นเน่าของแผลได้ดี ความนิยมใช้คลอโรฟิลล์ในการรักษาโรคมีมากมาย มนุษย์เราใช้ประโยชน์จากคลอโรฟิลล์หลายหลาย ไปจนกระทั่งใช้ในชีวิตประจำวันเป็นยาสีฟัน และยาดับกลิ่น นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ามีการใช้คลอโรฟิลล์รักษาโรคหลอดเลือดแข็งตัว ไซนัสอักเสบ กระดูกอักเสบ และโรคซึมเศร้าได้ด้วย ยังมีรายงานว่าการสวนด้วยคลอโรฟิลล์สามารถลดปริมาณแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ รักษาภูมิแพ้ และปัญหาอาหารไม่ย่อย
คลอโรฟิลล์จากธรรมชาติ
จากรายงานการใช้คลอโรฟิลล์รักษาอาการเลือดจาง สามารถเลือกแหล่งคลอโรฟิลล์จากพืชผักได้หลายอย่างด้วยกัน เช่นจากผักปวยเล้ง ผักกาดเขียว ซึ่งหากใช้สดๆ หรือคงความสดเอาไว้ได้ก็จะดีที่สุด เนื่องจากมีการทดลองเอาสารละลายคลอโรฟิลล์ไปตั้งรับแสงแดด ปรากฏว่ามันจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำลง เมื่อเอาไปตรวจสารเรืองแสง ปรากฏว่า คลอโรฟิลล์ที่ตากแดดเอาไว้มีความเรืองแสงมากกว่าปกติ นั่นแสดงว่าคลอโรฟิลล์สามารถดูดซับเอาพลังงานจากแสงตะวันเก็บไว้ในตัวของมันเต็มที่ และสามารถถ่ายทอดพลังงานนี้ออกมาเป็นพลังงานที่ให้คุณแก่ร่างกายของเรา
พืชใดก็ตามที่มีสีเขียวสด สามารถให้คลอโรฟิลล์แก่ร่างกายของเราได้ทั้งสิ้น เมื่อนักวิทยาศาสตร์รู้ว่าคลอโรฟิลล์มีประโยชน์ต่อสุขภาพ รู้ว่าต้องใช้คลอโรฟิลล์จากธรรมชาติ และรู้ว่าพืชเป็นแหล่งใหญ่ของคลอโรฟิลล์ ทีนี้จะหาพืชชนิดไหนมาสกัดเอาคลอโรฟิลล์เล่า??
กล้าข้าวสาลี (Wheatgrass)
ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่ากล้าข้าวสาลีมีสีเขียวสด และความเขียวนี่เองที่บอกเราว่ากล้าข้าวสาลีอุดมด้วยคลอโรฟิลล์
ทำไมต้องเป็นต้นกล้าด้วย ทำไมใช้ข้าวสาลีทั้งต้นไม่ได้

มีความจริงอยู่ว่า อะไรก็ตามที่กำลังงอกมีข้อดีอยู่ตรงที่ หากทิ้งไว้ยิ่งนานวิตามินและสารที่มีประโยชน์กลับเพิ่มมากขึ้น ข้อเท็จจริงนี้กลับกันกับความรู้ทั่วไปของเราที่ว่า ในบรรดาพืชอื่นๆ หากทิ้งไว้สารอาหารจะลดลง แต่กล้าที่กำลังงอก ถั่วที่กำลังงอก ยิ่งทิ้งไว้ วิตามินโดยเฉพาะวิตามินซีจะเพิ่มมากขึ้น
กล้าที่กำลังงอก จะมีเอนไซม์เพิ่มขึ้นมากมายเพื่อเปลี่ยนเมล็ดข้าวหรือเมล็ดถั่วที่ประกอบด้วยแป้งเป็นหลักให้กลายเป็นต้นอ่อน ในการนี้อะไรก็ตามที่กำลังงอกจะมีพลังมากมาย มีวิตามินและเกลือแร่เพิ่มมากกว่าตอนที่มันเป็นเมล็ดเป็นร้อยๆ เท่า ยกตัวอย่างเช่น เมล็ดที่กำลังงอกจะมีวิตามินซีมากกว่าตอนที่มันเป็นเมล็ด 300-600% วิตามินบี 1 เพิ่มขึ้น 30% วิตามินบี 2 เพิ่มขึ้น 200% วิตามินบี 3 (ไนอาซิน) เพิ่มขึ้น 90% วิตามินบี 5 (กรดแพนโตเทนิค) เพิ่มขึ้น 80% วิตามินบี 6 (ไพรีด็อกซิน) และ ไบโอติน เพิ่มขึ้น 100% เป็นต้น
เมื่อใบอ่อนเริ่มคลี่ออกมันจะทำหน้าที่ของใบพืชทันที นั่นคือรับพลังงานจากแสงตะวันมาสะสมไว้เพื่อเปลี่ยนให้เป็นอาหารจำเป็นที่จะใช้ในการเติบโตเป็นต้นพืชใหม่ รวมทั้งกล้าข้าวสาลีด้วย
ความเป็นมาของข้าวสาลี
ในแถบอบอุ่นข้าวสาลีมีความสำคัญต่อการดำรงชีพของมนุษย์ เมล็ดข้าวสาลีถูกนำมาใช้เป็นอาหารหลัก อย่างน้อยกว่า 3,000 ปี เนื่องจากเราพบเมล็ดข้าวสาลีอยู่ในหลุมพระศพของกษัตริย์อียิปต์ตุตันคาเมน ลอร์ดคาร์นาวอนผู้พบเมล็ดข้าสาลีนี้ยังสามารถทำการเพาะเมล็ดข้าวสาลีพันปีขึ้นมาเป็นกล้าข้าวสาลีได้ด้วย ในกรีกและโรมันยังมีความเชื่อว่าข้าวสาลีเป็นอาหารที่เทพประทานมาให้มนุษย์ ในจีนก็ถือว่าข้าวสาลีเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ
จากตำนานของบาบิโลน เมื่อประมาณ 2500 ปีก่อน กษัตริย์เนบูชาด เนสสาร์ ซึ่งมีอำนาจมากขนาดยกทัพไปตีจักรวรรดิอัซซีเรียนและเยรูซาเล็ม แต่กษัตริย์องค์นี้ต้องคำสาปให้ป่วยทั้งกายและใจ สวรรค์จึงมีบัญชามาว่า หากอยากหายต้องกิน “กล้าข้าวสาลีและเนื้อวัว” ซึ่งดูเหมือนว่าบันทึกนี้จะเป็นตำรับยาฉบับแรกที่กล่าวถึงการใช้กล้าข้าวสาลีในการบำบัดโรค
ในจีนโบราณยังมีตำนานกล่าวขานกันมาว่า สีเขียวของข้าวสาลีสามารถฟอกเลือด และเพิ่มพลังชีวิต
สำหรับคุณค่าของข้าสาลีนั้น เมล็ดข้าวสาลีสามารถเก็บเกลือแร่จากผืนดินประมาณ 92-102 ชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม กำมะถัน โคบอลท์ สังกะสี โซเดียม และ โปตัสเซียม เป็นต้น
ในกล้าข้าวสาลีอุดมไปด้วยโปรตีนสูง ซึ่งตับอ่อนของเราต้องการโปรตีนจากข้าวสาลีไปช่วยย่อยแป้ง กล้าข้าวสาลียังมีคลอโรฟิลล์มาก จึงมีประโยชน์ในการสร้างเม็ดเลือด และคืนความอ่อยเยาว์ให้กับร่างกาย เรายังพบว่าในกล้าข้าวสาลีอุดมด้วยวิตามินเบต้าแคโรทีน มีวิตามินบีสูง และอุดมไปด้วยวิตามินซี
ปีเตอร์ อาร์ค แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ยังพบว่ากล้าข้าวสาลีมีคุณสมบัติเป็นยาปฏิชีวนะ สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดกรัมบวก และเชื้อราได้ในหลอดทดลอง
ประสบการณ์การใช้กล้าข้าวสาลีในการรักษาโรค
ดร.แอน วิคมอร์ ผู้เชี่ยวชาญในการบำบัดโรคด้วยวิธีธรรมชาติในบอสตัน เป็นผู้หนึ่งที่ใช้น้ำคั้นจากกล้าข้าวสาลีในการฟื้นฟูสุขภาพตั้งแต่ทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้น จนกระทั่งใช้ในการล้างพิษ และขจัดโลหะหนักออกจากร่างกาย หรือรักษามะเร็ง
จากการศึกษาทดลองให้สารคลอโรฟิลล์กับสัตว์ทดลองที่เป็นโรคโลหิตจาง หรือมีจำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำ พบว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 4-5 วัน
ในปัจจุบันเราอยู่ในโลกอุตสาหกรรม มีโอกาสจะได้รับโลหะหนักจำพวกสารตะกั่ว แคดเมี่ยม สารปรอท อลูมิเนียม และทองแดง มีรายงานจากการตรวจโลหะหนักจากเส้นผมว่า หากดื่มน้ำคั้นจากกล้าข้าวสาลีเป็นประจำประมาณ 2 เดือน จะช่วยลดปริมาณโลหะหนักในร่างกายลงได้
กล่าวกันว่า หากกินกล้าข้าวสาลีวันละน้อยจะช่วยป้องกันฟันผุ การใช้น้ำคั้นจากข้าวกล้าสาลีมาบ้วนปากจะช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน รักษาอาการเจ็บคอ รักษาหนองในช่องปาก นอกจากนี้การกินน้ำคั้นจากข้าวสาลีสดๆ จะทำให้
1.) ช่วยแก้อาการเส้นเลือดขอด เพราะมีเอนไซม์ SOD ช่วยละลายก้อนเลือดที่อุดตัน
2.) ช่วยแก้ผมหงอก
3.) ช่วยกระตุ้นการไหวเวียนของเลือดในร่างกาย
4.) ช่วยลดกลิ่นตัว กลิ่นปาก
5.) ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน เนื่องจากอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
6.) จะทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า สบายเนื้อสบายตัว
7.) แก้โรคโลหิตจาง เนื่องจากมีคลอโรฟิลล์สูง
8.) ช่วยระบบย่อย เนื่องจากอุดมไปด้วยเอนไซม์
9.) ช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย รวมทั้งโลหะหนัก เช่น สารตะกั่ว ทองแดง เป็นต้น
รู้จักอัลฟัลฟา (Alfalfa) บิดาแห่งอาหารทั้งมวล
อัลฟัลฟาถูกนำมาในประเทศจีนตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 โดยใช้ในการรักษาโรคไต และบรรเทาอาการตัวบวมอันเนื่องมาจักการกักเก็บน้ำในร่างกายมากเกินไป อัลฟัลฟาเป็นพืชตระกูลถั่ว เป็นสมุนไพรยืนต้นซึ่งเติบโตได้ในสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันทั่วโลก ที่เราเอามาใช้เป็นกล้าที่กำลังงอกของมัน เมล็ดอัลฟัลฟามีขนาดเล็ก เมื่องอกก็จะได้กล้าที่มีขนาดเล็ก มีใบเลี้ยงสีเขียว และแน่นอนว่ามันจะต้องเป็นแหล่งของคลอโรฟิลล์ เอนไซม์ที่เกิดขึ้นในขณะที่กล้าของมันกำลังงอก รวมทั้งวิตามินและเกลือแร่ที่อุดมสมบูรณ์

เมล็ดอัลฟัลฟา 1 ช้อนโต๊ะจะเพาะได้กล้าถึง 1 กก. อัลฟัลฟากินง่ายเพราะมีความนุ่มนวล ไม่มีกลิ่น และมีรสหวาน
นักชีววิทยา แฟรงก์ โบเออร์ ค้นพบว่า อัลฟัลฟามีเอนไซม์สำคัญๆ ถึง 8 ชนิด ในอัลฟัลฟา 100 กรัม จะมีวิตามินเอเบต้าแคโรทีน 8,000 หน่วย มีวิตามินเค 20,000 ถึง 40,000 หน่วย ซึ่งมีผลทำให้เลือดแข็งตัวและหยุดไหลง่าย อัลฟัลฟายังเป็นแหล่งสำคัญของวิตามินบี 6 วิตามินอี วิตามินดี มีแคลเซียม ฟอสฟอรัสซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูก
อัลฟัลฟายังสามารถใช้รักษาโรคกระเพาะ อาการปวดท้อง แผลในกระเพาะอย่างได้ผล และยังช่วยในการระบาย มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ (ใช้แทนยาขับปัสสาวะ)
อัลฟัลฟาถูกนำมาใช้ในการลดระดับน้ำตาลในเลือดและระดับคอเลสเตอรอลซึ่งให้ผลที่เป็นประโยชน์ต่อหัวใจของเรา นอกจากนั้นอัลฟัลฟายังมีคุณสมบัติช่วยในการขับถ่าย และความอยากอาหาร ในขณะเดียวกันอัลฟัลฟายังถูกนำมาช่วยในการรักษาการติดเชื้อในระบบปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ ไต ต่อมลูกหมากทำงานผิดปกติ อีกทั้งยังช่วยระงับอาการปวดในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบและถุงน้ำต่างๆ ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบที่จะเกิดขึ้นในบางครั้งบางคราว นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มระดับพลังงานในร่างกายเนื่องจากมีคุณสมบัติทางโภชนาการที่สูงมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น